เสียงขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกึกก้องโถงประชุม รัฐสภา
“ส.ว.สมชาย แสวงการ” แถลงว่า “เสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เกิดขึ้นวันนี้จะจารึกในหัวใจพวกเราตลอดไป และจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่คนไทยผู้จงรักภักดีจะกล้าลุกขึ้นยืนร้องเพลงนี้ร่วมกันให้ดังกึกก้องตลอดไป เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า พวกเราจะทำหน้าที่ปกป้องชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ และประชาชนตลอดไป”
บทแถลงของสมชาย ย้ำถึงแนวโน้มการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และเป็นโจทย์ทางการเมืองที่พรรคก้าวไกลยังแก้ได้ไม่ตก
อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ชัดเจนวันนี้ คือการที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ “วิทยา แก้วภราดัย” ชิงตำแหน่งรองประธานรัฐสภาคนที่ 1
“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” แคนดิเดตนายกฯ ลำดับ 2 จากพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงว่า “หลังจากที่มีผู้เสนอสมาชิกจากพรรคก้าวไกลให้ดำรงตำแหน่งนี้ แล้วประธานถามว่าจะมีใครเสนอชื่อสมาชิกท่านอื่นหรือไม่ แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งหากไม่มีใครเสนอชื่อแข่ง ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเพียงคนเดียวก็จะลอยลำได้ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่งโดยทันที จะเท่ากับว่าเรายอมรับไปด้วย”
“ดังนั้น เราจึงต้องทำหน้าที่แม้เป็นพรรคเล็กมี ส.ส.เพียง 35 คน.. จึงต้องเสนอสู้ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ผลชนะหรือแพ้ แต่อยู่ที่ใจและสำนึกการทำหน้าที่ปกป้องสิ่งที่เรารัก ใครจะร่วมสู้กับเราบ้างก็แล้วแต่ อย่างที่บอก แพ้ชนะไม่สำคัญ สำคัญที่สุดคือเราสู้ไม่ถอยครับ”
บทแถลงของพีระพันธุ์ย้ำว่าพลังจารีตได้ฟอร์มทีมอย่างแข็งขัน ทั้งในสภาล่างและสภาสูง โดยมีนัยว่า ไม่สามารถยอมรับคน-พรรคที่เสนอแก้ไข ม.112 ได้ และพร้อมที่จะ “ทำหน้าที่ปกป้องสิ่งที่เรารัก” แบบชนิด “สู้ไม่ถอย”
เช่นเดียวกับที่พรรคภูมิใจไทยได้แถลงถึงเงื่อนไขของการจัดตั้งรัฐบาล “พรรคภูมิใจไทย ขอเรียนว่าจุดยืนของพรรคภูมิใจไทย คือ ไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 …จุดยืนนี้เป็นหลักการสำคัญของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือต่อรองได้ พรรคภูมิใจไทย จึงไม่สามารถลงมติสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้”
“พรรคภูมิใจไทย ได้สอบถามความเห็นว่าที่ ส.ส. ของพรรค ทั้ง 68 คน รวมถึงผู้สมัครรับเลือกตั้ง อีกประมาณ 300 คน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ได้รับข้อมูลตรงกันว่าประชาชนผู้ลงคะแนนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทย มากกว่า 5 ล้านคน มีความเชื่อมั่นว่าพรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคการเมืองหลักทำหน้าที่ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ”
เมื่อใกล้ถึงวันเลือกนายกรัฐมนตรี นี่เป็นความท้าทายของพิธา-พรรคก้าวไกล ว่าจะไต่เพดานต่อไปข้างหน้า หรือยอมลดเพดานการเมืองลง เพื่อคว้าอำนาจรัฐ