“ปุ๋ยคนละครึ่ง” ล่มปากอ่าว“พท.-พรรคร่วมฯ” สามัคคีต้านโยนบาป “ไอ้โม่ง ต.” ชงขมปี๋
เจอแรงต้านจนส่อเค้าต้อง “ล่มปากอ่าว” สำหรับ “โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง“ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้ว พร้อมอนุมัติวงเงินในการดำเนินโครงการ 29,980 ล้านบาท
“ปุ๋ยคนละครึ่ง” เป็นโครงการที่มีเป้าหมาย สนับสนุนการซื้อปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และสารชีวภัณฑ์ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิตข้าวให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
โดยเกษตรกรจะได้รับเงินอุดหนุนไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ในหนึ่งครัวเรือนจะได้รับเงินอุดหนุน “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ไม่เกิน 10,000 บาท ต่อหนึ่งฤดูกาลผลิต โดยเกษตรกรต้องลงทะเบียนก่อนจะเข้าร่วมโครงการ
แต่เงื่อนไขสำคัญคือ เกษตรกรต้องมีเงินอีกครึ่งไปซื้อปุ๋ยด้วย เช่นรับเต็มๆ 10,000 บาท ก็ต้องกำเงิน 10,000 บาทไปจ่ายค่าปุ๋ย และชีวภัณฑ์ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. เพื่อแลกกับปุ๋ยและชีวภัณฑ์ มูลค่า 20,000 บาท
แม้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะอธิบายว่า “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทดแทนโครงการไร่ละพัน แต่รูปแบบการช่วยเหลือเกษตรกรคล้ายคลึงกัน ด้วยการลดจำนวนเงินในการช่วยเหลือน้อยลง จึงถูกต้องข้อสังเกตว่า “ไร่ละพัน” ก็อาจมีอันเจอหางเลขตามไปด้วย
สำหรับ “ไร่ละพัน” เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรซื้อปัจจัยการผลิต ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ ต่อหนึ่งฤดูกาลผลิต โดยหนึ่งครัวเรือนจะได้รับเงิน 20,000 ต่อหนึ่งฤดูกาลผลิต ใช้งบประมาณ 57,000 ล้านบาทต่อปี
จุดต่างของ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” กับ “ไร่ละพัน” นอกจากจำนวนเงินจะมีส่วนต่างกันที่ 500 บาทต่อไร่แล้ว รูปแบบการช่วยเหลือแตกต่างกันสุดขั้ว
“ปุ๋ยคนละครึ่ง” เกษตรกรจะได้รับผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อไปซื้อปุ๋ยมาใช้ในการเกษตร โดยรัฐจะออกให้ 500 บาทต่อไร่ เกษตรกรออกเอง 500 บาทต่อไร่
ส่วน “ไร่ละพัน” เงินจะถึงมือเกษตรกรโดยตรง ซึ่งได้รับสูงสุด 20,000 บาทต่อครัวเรือน การบริหารจัดการเงินในการซื้อปุ๋ย หรือผลิตภัณฑ์อื่นในการเกษตร จึงขึ้นอยู่กับตัวเกษตรกร โดยไม่มีหลักเกณฑ์อื่นมาผูกมัด
จุดแข็งของ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” เงินจะไม่ถึงมือเกษตรกรโดยตรง การซื้อปุ๋ยจะต้องแบ่งกันจ่ายระหว่างรัฐกับเกษตรกร หากมองในมิติของการบริหารงบประมาณ อาจตอบโจทย์รัฐบาล เพราะสามารถควบคุมดูแลให้เกษตรกรนำเงินมาซื้อปุ๋ยจริงๆ โดยไม่นำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น
จุดอ่อนคือการบริหารจัดการภาครัฐ โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริต โดยเฉพาะ “สูตรปุ๋ย” หากมีการล็อกสเปกปุ๋ยที่ไม่ได้คุณภาพ นำมามัดมือชกบังคับให้เกษตรกรซื้อ อาจจะไม่ตอบโจทย์การเพาะปลูก แถมมีกระแสข่าว “ไอ้โม่ง” ศึกษาจุดอ่อน จนเริ่มมองเห็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์
ขณะที่จุดแข็งของ “ไร่ละพัน” เกษตรกรสามารถเลือกซื้อปุ๋ยด้วยตัวเองได้ ปิดช่องการทุจริต เนื่องจากจะไม่มีการล็อกสเปกเจ้าใดเจ้าหนึ่งซื้อปุ๋ยมาขายให้กับเกษตรกร
จุดอ่อนอยู่ที่รัฐจะไม่สามารถควบคุมดูแลให้เกษตรกรนำเงินมาซื้อปุ๋ยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าอาจจะมีเกษตรกรนำเงินที่ได้มาซื้อปุ๋ย แต่อาจจะแบ่งจ่ายนำไปใช้สอยด้านอื่น
เมื่อจุดแข็ง-จุดอ่อนของ ปุ๋ยคนละครึ่ง-ไร่ละพัน ต่างกันคนละขั้ว แรงหนุน-แรงต้าน จากเกษตรกรจึงเกิดขึ้น โดยสะท้อนผ่าน สส. ในพื้นที่ โดยเฉพาะ สส.เพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล
ที่สำคัญเกษตรกรที่ต่อต้านหนัก ผ่านเสียงสะท้อนจาก สส.เพื่อไทย อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน เนื่องจากมีเกษตรกรปลูกข้าวจำนวนมาก
เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของเกษตรกรไม่เห็นด้วยกับ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ชื่นชอบ “ไร่ละพัน” ถึงขั้นพูดว่า “รัฐบาลลุงตู่” ดีกว่า “รัฐบาลเศรษฐา” จน สส.เพื่อไทย ได้ฟังแทบกระอักเลือด
หรือหากจะช่วยค่าปุ๋ยคนละครึ่ง ก็ต้องให้ไร่ละพันเหมือนเดิม ซึ่งนั่นไม่ตรงกับแนวทางโครงการปุ๋ยคนละครึ่งที่วางไว้เพื่อลดงบประมาณจากโครงการไร่ละพัน
ไม่แปลกที่ในการประชุมพรรคเพื่อไทย จะมีการสะท้อนปัญหา “ปุ๋ยคนละครึ่ง” กระทบต่อฐานเสียง “เพื่อไทย” ซัดกันแรงถึงขั้น ทำไมถึงต้องเอาใจ “ร.อ.ธรรมนัส” ให้ดำเนินโครงการดังกล่าว จนอาจจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของ “เพื่อไทย” ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว
แม้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะพยายามชี้แจงว่า “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ไม่เกี่ยวกับ “ไร่ละพัน” แต่กลับไม่มี สส. เชื่อตามคำชี้แจง
พร้อมนำมาเป็นประเด็นถล่มผ่านวาระ “หารือ” ที่ สส.ได้เวลาพูดปัญหาในพื้นที่คนละไม่เกิน 2 นาทีก่อนเข้าสู่วาระประชุมสภาฯ ในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งช่วงเดือน ก.ค.67 สส.เพื่อไทย รวมไปถึง สส.พรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ แทบทุกคนที่ได้คิวหยิบเรื่องปุ๋ยคนละครึ่งมาพูดแบบนัดหมายกันล่วงหน้า
คีย์เวิร์ดสำคัญ เอา “ปุ๋ยคนละครึ่ง” คืนไป เอา “ไร่ละพัน” คืนมา
ที่มาที่ไปมีกระแสข่าวว่า “V1 บ้านจันทร์” จะเป็นคนกดปุ่มให้ “เบอร์ 1 เกษตรฯ” ปฏิบัติการโครงการดังกล่าว โดยให้ช่วยกันคนละไม้ละมือกับ “เบอร์ 1 ค้าขาย” แต่ท้ายสุดอาจจะทานกระแสต้านไม่อยู่
ซึ่งหลังจากที่โครงการส่อไปไม่รอด ก็มีเสียงกระซิบจาก “กระทรวงพญานาค” โยนบาปไปที่ “ไอ้โม่ง ต.” คนของพรรคเพื่อไทยเองว่า อยู่เบื้องหลังในการชงเข้มโครงการปุ๋ยคนละครึ่งออกมา จน “ขมปี๋” ไปทั้งรัฐบาล
ตามไทม์ไลน์ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” จะเปิดให้เกษตรกรลงทะเบียนในวันที่ 15 ก.ค.67 ที่ผ่านมา แต่ด้วยแรงเสียดทานทางการเมืองสูงทำให้ต้องเลื่อนออกไปก่อน และมีแนวโน้มที่จะต้องยกเลิกโครงการ ถอยไปใช้ “ไร่ละพัน” ซึ่งถือกำเนิดในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนเดิม
โดย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ โยนเผือกร้อนให้ “ร.อ.ธรรมนัส” พิจารณาด้วยตัวเองว่า จะเดินหน้าโครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” หรือไม่ ซึ่งยังไม่มีกำหนดการตายตัวว่า จะต้องมีความชัดเจนภายในเวลาใด
แต่หากต้องล้มเลิก “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ย่อมสะท้อนภาพ “ปุ๋ยการเมือง” เพราะโดนแรงต้านอย่างหนักจากเกษตรกร ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของ “เพื่อไทย” และสะท้อนการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักจะชื่นชอบที่เม็ดเงินถึงมือโดยตรง ไม่ต้องอ้อมค้อมจนอาจจะเปิดช่องให้เกิดการทุจริต
ที่สำคัญสะท้อนให้เห็นว่า “สส.เพื่อไทย” ยังพอมีพลังในการต่อต้านโครงการของพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะกระทบต่อแต้มการเมือง ยิ่งเป็นยี่ห้อ “ธรรมนัส” ที่แว่วว่า ขึ้นหม้อกับ “V1 บ้านจันทร์” แบบสุดๆ จน “คนเพื่อไทย” อดหมั่นไส้ไม่ได้ แรงต้านก็เลยมากเป็นพิเศษ
หลังจากนี้ ต้องจับตาว่าทางลงของ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” จะจบลงอย่างไร “ธรรมนัส” จะยอมถอยจริง หรือแค่สับขาหลอก แต่การันตีได้ว่าหาก “ไร่ละพัน” ถูกยกเลิกโครงการ “สส.เพื่อไทย” เตรียมเปิดศึกกับ “ธรรมนัส-พลังประชารัฐ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้