“พิชัย” นั่งหัวโต๊ะ ดันนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล-พาณิชย์

“พิชัย” นั่งหัวโต๊ะ ประชุมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล-พาณิชย์ พร้อมเกาะติดสถานการณ์การค้า-การลงทุน หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง กำชับพาณิชย์จังหวัด-ทูตพาณิชย์ทั่วโลก เร่งหาโอกาสด้านการค้า-การลงทุนให้ไทย

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามนโยบายและขับเคลื่อนมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาล พร้อมด้วยนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 58 แห่ง และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 72 จังหวัด ณ ห้องมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจการค้า และกำชับเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ หลังคาดว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะส่งผลต่อนโยบายการค้าของโลก และไทยต้องเร่งหาโอกาสด้านการค้า-การลงทุน

นายพิชัย กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมติดตามนโยบายและขับเคลื่อนมาตรการเร่งด่วนของท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) เพื่อให้นโยบายของกระทรวงพาณิชย์สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ขอขอบคุณข้าราชการกระทรวงทุกท่านที่ทำงานอย่างหนักตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งภารกิจในประเทศและต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศของเราพัฒนาต่อไปให้ได้ และวันนี้ได้มีการติดตาม 10 นโยบายสำคัญเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก็ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัดทำงานร่วมกัน เพื่อเร่งหาโอกาสด้านเศรษฐกิจ การค้า-การลงทุนให้กับประเทศ

โดยเรื่องหลักวันนี้คือการรับมือการเปลี่ยนแปลงผู้นําของสหรัฐอเมริกา ได้มีการวิเคราะห์กันว่าหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง จะส่งผลกระทบกับไทยอย่างไร เชื่อว่าไทยจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ไทยเองต้องวาง position ตัวเองให้ดี จากข้อมูลตัวเลขในอดีตที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่า ตัวเลขการส่งออกสินค้าไทยหลายรายการเพิ่มขึ้น เป็นผลจากสงครามการค้า ที่ทำให้การนําเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯลดลงอย่างต่อเนื่อง และสินค้าของไทยได้ไปทดแทนการนำเข้าสินค้าค่อนข้างเยอะ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถเพิ่มการส่งออกไปประเทศอเมริกาได้มากขึ้น ขณะนี้ประเทศต่างๆ เดินหน้าเข้ามาเพื่อจะมาเจรจาทำการค้าการลงทุนกับไทยอย่างมาก อีกไม่กี่วันตนเองก็จะบินไปเปรู เพื่อประชุมเอเปกพร้อมท่านนายกฯ คงได้มีการเจรจากับหลายประเทศ และเชื่อว่าหลายประเทศอยากที่จะมาลงทุนในประเทศไทย และวันที่ 25-27 พ.ย.นี้ สหรัฐฯก็จะนำทัพนักธุรกิจเข้ามา เราต้องวาง position ที่เราเป็นอยู่อย่างนี้ ส่งผลให้จีนก็รัก เรา อเมริกาก็รักเรา รัสเซียก็รักเรา middle east ก็รักเรา ไทยไม่ต้องเลือกข้าง เราอยากจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ของอาเซียน ที่ทุกประเทศดีใจและพอใจที่จะมาอยู่กับเรา

เรื่องการลงทุนเราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสที่เค้าอาจจะมีความขัดแย้งอะไรก็ตาม เราก็จะสามารถหาโอกาสที่เกิดขึ้นได้ จะเห็นการลงทุนจากสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น บริษัทขนาดใหญ่มาขยายการลงทุนด้านฮาร์ดดิสก์ อาทิ ซีเกท Western Digital และมีเรื่อง Food Security Data Center และ PCB เทคโนโลยีใหม่ๆ เชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ เห็นได้จากตัวเลขของ BOI ที่ต่างชาติจะมาลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปีแล้วยังจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และภายในเดือนมกราคมนี้ ที่งาน World Economic Forum เราจะได้เซ็นสัญญา FTA กับเอฟตา (สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป) กับ 4 ประเทศ ประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง และจะนําไปสู่การเซ็นสัญญา FTA ไทยกับอียู และ UAE ต่อไปในอนาคต ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กการเจริญเติบโตของเราต้องอาศัยต่างประเทศเยอะต้องสานเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

คาดว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าแปรรูป และสินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไทยจะได้ประโยชน์ จากที่ขาดโอกาสเรื่องนี้มาเป็น 10 ปี การลงทุนข้ามจากไทยไปเวียดนามหมด แต่เรามีไฟฟ้าที่มากพอ เพราะสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีพลังงานได้ทำไว้เยอะ ทำให้สามารถรองรับการลงทุนเทคโนโลยีได้ ต้องเร่งให้เขาสร้างเสร็จเร็วๆ จะได้มีโอกาสเห็นการส่งออกไทยโตเกิน 4-5% และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะโตเกิน 4-5% ตามการส่งออกด้วยเช่นกัน ต้องให้ทุกประเทศมาลงทุนไทยแล้วได้ประโยชน์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ทํางานหนักขึ้นเพื่อสร้างโอกาสทำรายได้ให้ประเทศต่อไป