วันเกิด “ยิ่งลักษณ์” เล่าเรื่องจากบ้าน 6 ปี ผ่าน 6 ภาพ

วันที่ 21 มิ.ย.66 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า วันคล้ายวันเกิดปีนี้ของดิฉันเป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่ 6 แล้วที่ดิฉันต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รักมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ดิฉันเชื่อว่า 6 ปีของหลายคนคงมีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตกันมากมาย เช่นเดียวกับตัวดิฉันจึงขอใช้โอกาสนี้นำ 6 เรื่องราว 6 ภาพแห่งความคิดถึงที่ไม่เคยบอกเล่าที่ไหนมาก่อนมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ฟังกันค่ะ ดิฉันหวังว่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครที่อาจจะท้อแท้หรือสิ้นหวังอยู่ ให้มีแรงลุกขึ้นและก้าวเดินต่อไปนะคะ

ซึ่งสิ่งที่เล่าไปทั้งหมดเป็นทั้งความคิดถึงและแรงบันดาลใจให้กับดิฉันตลอด 6 ปีที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งดิฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน ทำให้ดิฉันได้ตกผลึกทางความคิดและความรู้สึกว่า “ชีวิตคนเรามีโอกาส และมีทางเดินเพื่อเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”

เช่นเดียวกับชีวิตของพี่น้องประชาชนค่ะ เพราะสิ่งที่ดิฉันเผชิญคงเทียบไม่ได้กับความทุกข์ยากของพี่น้องคนไทยที่ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหาร วันนี้ดิฉันดีใจมากค่ะที่พี่น้องคนไทยได้ใช้อำนาจจากปลายปากกานำพาประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับสู่ประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดปีนี้ ดิฉันขอเปลี่ยนความคิดถึงเป็นกำลังใจส่งไปให้พี่น้องคนไทยทุกคนนะคะ

1.วันที่ต้องห่างลูก

ไปป์ตัดสินใจที่จะเรียนต่อแฮร์โรว์ (ประเทศไทย) จนจบมัธยมปลายแล้วจึงมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ลอนดอน ช่วงนั้นดิฉันต้องห่างลูกเป็นครั้งแรกในชีวิต กว่าจะได้เจอไปป์อีกครั้งก็คือประมาณปีกว่า วันหนึ่งน้องไปป์มาเยี่ยมดิฉันที่ลอนดอน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เจอลูกหลังจากออกจากประเทศไทยมา เราเห็นลูกเดินลงจากเครื่องบินมาหาเรา จากที่ปกติเราสองคนแม่ลูกจะต้องเดินลงจากเครื่องบินมาพร้อมกัน ดิฉันเข้าไปกอดลูกด้วยความคิดถึง จุดนั้นรู้สึกว่า เวลาที่เรากอดลูก กอดเท่าไรก็ไม่เคยอิ่ม เราเหมือนโหยหาความรู้สึกนี้จากลูกมาก ดิฉันจึงหวงแหน และให้ความสำคัญกับทุกช่วงเวลาที่ได้ใช้กับน้องไปป์ ดีใจทุกครั้งที่ได้เจอเขา

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่น้องไปป์พร้อมด้วยพี่เลี้ยงและคนสนิทของดิฉันมาเยี่ยมที่ดูไบ เราเคยอยู่ด้วยกันที่ประเทศไทย วันหนึ่งเรานั่งรถตู้ซึ่งเป็นรถตู้ที่เหมือนรถที่ใช้ที่เมืองไทย ตอนขึ้นรถทุกคนขึ้นนั่งในตำแหน่งเดิมกันด้วยความเคยชิน ดิฉันกวาดตามองไปรอบๆรถ แว้ปหนึ่งความรู้สึกก็ผุดขึ้นมาในใจว่า ตอนนี้เราอยู่เมืองไทยหรืออยู่ดูไบกันแน่นะ ทุกคนนั่งอยู่กันครบ เป็นภาพที่เราคุ้นเคย แต่ความเป็นจริงก็ปลุกให้เรารู้สึกตัวว่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา ที่นี่คือดูไบ เราไม่ได้กลับบ้าน

2.คิดถึงบ้าน คิดถึงประเทศไทย คิดถึงพี่น้องประชาชน

ดิฉันได้เห็นอาหารเหนือจากบ้านเราที่มีคนนำมาให้ทาน แล้วทำให้คิดถึงบ้านที่เชียงใหม่ คิดถึงภาพบรรยากาศเก่าๆที่เรามีพ่อแม่พี่น้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา คิดถึงพี่น้องประชาชนที่เราเคยนั่งล้อมวงกินข้าวพูดคุย คิดถึงพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดที่เราเคยทักทายกันด้วยความรัก บางคนเข้ามากอดเราด้วยความอบอุ่น ดิฉันจำภาพเหล่านั้นได้ไม่ลืมค่ะ

อีกจุดหนึ่งทำให้ดิฉันคิดถึงบ้านมากที่สุดครั้งหนึ่งคือ ตอนที่ดิฉันเห็นข่าวการยึดทรัพย์ ยึดบ้านของดิฉันที่เชียงใหม่ที่พ่อแม่ยกให้ เรานั่งดูข่าวด้วยหัวใจที่บอบช้ำ คิดเพียงแต่ว่า แม้กระทั่งสมบัติที่พ่อแม่ให้ไว้ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ ถือเป็นจุดที่ทำให้คนไกลบ้านอย่างดิฉันมีความรู้สึกเศร้าและคิดถึงบ้านมากๆ ค่ะ

3.คิดถึงพ่อกับแม่ที่สุด

ภาพแรกเป็นภาพตอนที่แม่เสียไปแล้ว ในรูปเลยเห็นแค่พ่อ พี่น้อง และลูกหลานมารวมกัน สำคัญที่สุดรูปนี้เป็นภาพที่พ่อถ่ายกับลูกหลานครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ดิฉันจำบรรยากาศของวันนั้นได้ค่ะ เพราะวันนั้นเป็นวันเกิดคุณพ่อ เราทุกคนเลยมารวมตัวกัน พ่อบอกว่าอยากให้พี่น้องลูกหลานมารวมกันเพื่อวันข้างหน้าที่ไม่มีพ่ออยู่แล้ว ลูกหลานจะได้รู้จักใกล้ชิดสนิทสนมกัน สิ่งที่พ่อขออย่างเดียวในวันนั้ัน คือพ่อขอให้ลูกๆทุกคนรวมญาติพี่น้องมาอยู่ด้วยกัน ใครจะไปคิดว่า นี่กลายเป็นคำอบรมสั่งสอนที่พ่อให้กับพวกเราทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นไม่นานคุณพ่อก็ป่วยจนต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ส่วนรูปกับแม่ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีถ่ายรูปด้วยกันมากนัก เพราะช่วงนั้นย้ายบ้านบ่อย แต่รูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายก่อนที่ดิฉันจะไปร่วมงานบุปผาชาติก็เลยถ่ายกับแม่เป็นที่ระลึกค่ะ ดูรูปนี้ทีไรทำให้คิดถึงแม่เสมอ … แม่เป็นผู้หญิงที่นุ่มนวล และละเอียดอ่อนค่ะ ท่านคอยสั่งสอนลูกอยู่เสมอ เอาใจใส่ลูกตลอดเวลา ในทุกๆเรื่อง และพร้อมให้ความอบอุ่นกับลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ทุกครั้งก่อนทานอาหารเย็นแม่จะนอนกอดดิฉันแล้วก็ร้องเพลงด้วยกัน และจากนั้นก็ฟังข่าวตอนหัวค่ำหลังเคารพธงชาติก่อนจะลงไปทานข้าวด้วยกัน สำหรับพวกเรา ความรักของแม่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ตอนนั้นพวกเรามีเงินไม่เยอะ แม่ชอบทานลูกพลับ พี่สาวได้เงินเดือนมาจึงซื้อลูกพลับมาให้แม่ แต่แม่รู้ว่าลูกชอบก็เอาไปปอกแล้วให้ลูกๆ ทานก่อน ตอนนั้น เราก็เอะใจว่าทำไมมีลูกพลับเยอะจัง แม่เอาแต่บอกว่า “กินไปเลย แม่อิ่มแล้ว” ทั้งๆที่จริงๆแม่ให้เราทานก่อน เหลือเท่าไรแม่ค่อยทาน นั่นคือแม่ของดิฉันค่ะ แม่ที่มักคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ไม่ว่าแม่จะอยู่ที่ไหนก็ตาม ทุกครั้งที่ลูกคนนี้นึกถึงแม่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจตลอดค่ะ

4.สุขใจทุกครั้งที่พี่น้องมารวมกันพร้อมหน้า

ตอนที่เจอญาติพี่น้องครั้งแรกหลังจากไปอยู่ต่างประเทศ เราได้เจอทีละครอบครัว แต่มีครั้งหนึ่งที่เราได้เจอกันครบพร้อมหน้าพี่ๆน้องๆครบทุกคน ได้ถ่ายรูปด้วยกัน ซึ่งถือว่ายากเหมือนกันที่ทุกคนจะมารวมตัวกันแล้วได้ถ่ายรูปพร้อมๆกัน จึงทำให้คิดถึงบรรยากาศครั้งสุดท้ายที่เจอกันก่อนคุณพ่อจะเสีย เป็นความรู้สึกที่ดีที่อย่างน้อยครอบครัวเราได้มีโอกาสอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ก็นั่งคิดในใจว่าต่อไปเรายังจะมีโอกาสอย่างนี้อีกเมื่อไร ทำให้คิดถึงบ้านขึ้นมาเหมือนกัน

5.ภูมิใจที่สุด คือ ‘ลูก’

ลูกคือทุกอย่างในชีวิตของดิฉันค่ะ ลูกคือความหวังที่มีอยู่ของแม่ บนความเศร้าที่ถาโถมเข้ามา ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ผ่านมา ‘น้องไปป์’ ให้สัญญากับแม่เสมอว่า 3 ปีที่เรียนอยู่ไทย (ก่อนจะมาเรียนต่อต่างประเทศ) ไปป์จะเป็นเด็กดี จะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง ซึ่งไปป์ทำได้อย่างที่ให้สัญญากับแม่จริงๆ ไปป์ตั้งใจเรียนและคว้ารางวัลมากมายมาให้แม่เป็นของขวัญ แต่เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อเขาก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยไปป์ก็ยังคงคว้ารางวัลเรียนดีในหลายๆ วิชา และเป็นนักเรียนไทยที่ได้คะแนนสูงสุดในชั้น นี่คือความภูมิใจสูงสุดของดิฉันในฐานะแม่ของลูกชายคนนี้ เพราะแม้ไปป์จะไม่ได้อยู่กับแม่ ทั้งยังเจอภาวะการเมืองและสภาพกดดันหลายๆอย่าง แต่ลูกยังสามารถประคองตัวเองจนเรียนหนังสือผ่านไปได้ด้วยดีเป็นเด็กดี

ชีวิตนี้ของดิฉัน ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ขอเพียงให้ลูกเป็นเด็กดี ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ ได้มีความสุข และได้มีรอยยิ้มที่สดใสทุกวัน จนวันหนึ่งเขาเติบโตขึ้น และสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่ไม่มีแม่ นี่คือสิ่งที่ดิฉันหวัง และเป็นสิ่งที่ดิฉันคงจะภูมิใจที่สุด

6.จุดที่เริ่มมีกำลังใจ และตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเดินหน้าชีวิตต่อ

ความรู้สึกหลังจากที่เดินทางออกจากประเทศไทย ดิฉันรู้สึกว่ามีความเศร้าอยู่ในใจเสมอ แม้เราสามารถใช้ชีวิตปกติได้ แต่อารมณ์หรือความรู้สึกสดชื่นรื่นเริงนั้นไม่มีเลย เช่น ไปงานกินเลี้ยงที่ทุกคน ร้องเพลงกันอย่างมีความสุข แต่เราไม่สามารถร้องได้เลย ร้องไม่ออก ไม่อยากร้อง ในใจคือไม่ได้เป็นอะไร เห็นคนมีความสุขสนุกสนาน แต่เราเองกลับไม่สามารถร้องอะไรออกมาจากคอเราได้เลย ชีวิตช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่เราได้รู้จักกับคำว่า “โดดเดี่ยว” ทั้งที่มีผู้คนอยู่รอบตัวเรา แต่เรากลับมองไม่เห็นทางข้างหน้า ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราอีก และไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเราจะต้องทำอะไรต่อไป เป็นช่วงชีวิตที่ดิฉันรู้สึกทรมานที่สุดค่ะ

แต่เมื่อผ่านมาสักระยะ จำได้ว่าเป็นวันเกิดปีแรกที่มาจัดงานวันเกิดที่ต่างประเทศ พี่ชาย (ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) หอบดอกไม้ช่อใหญ่มาให้เรา มากอด พร้อมพูดให้กำลังใจ ทำให้เราคิดขึ้นมาได้ว่า อย่างน้อยเราก็โชคดีที่แม้จะต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่ก็มีพี่ชายคอยดูแล เป็นที่พึ่งทางใจ เป็นทั้งพ่อ ทั้งพี่ ทั้งญาติผู้ใหญ่ที่ให้ทั้งความอบอุ่น และให้ชีวิตใหม่กับเรา และที่ทำให้ดิฉันมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกนั่นคือ ตอนที่พี่ชายอวยพรวันเกิดปีแรก พี่ชายบอกกับดิฉันว่า “คนเรา