เพนตากอน เตรียมวางแผนการเยือนไต้หวันของนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ รายงานระบุ
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังเตรียมรับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเยือนไต้หวันในปลายปีนี้ Punchbowl News รายงานเมื่อวันจันทร์ โดยอ้างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรง
Punchbowl ยังกล่าวด้วยว่าการวางแผนสำหรับการเดินทางนี้อยู่ใน “ระยะเริ่มต้น” และเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของประธานาธิบดี Joe Biden ของสหรัฐฯ คาดหวังว่า McCarthy จะไปเยี่ยมเยียนในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
สมาชิกพรรครีพับลิกันภายใต้การนำของแมคคาร์ธี ให้ความสำคัญกับการตอบโต้ไปยังรัฐบาลปักกิ่ง โดยคณะกรรมการคัดเลือกเกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นในเดือนนี้ เป็นหนึ่งในกฎหมายชุดแรกของสภาคองเกรสชุดใหม่ การป้องกันไต้หวันเป็นวาระสำคัญที่ไมค์ กัลลาเกอร์ สมาชิกสภาคองเกรสแห่งรัฐวิสคอนซินจากพรรครีพับลิกัน เลือกให้แม็คคาร์ธีเป็นผู้นำคณะกรรมการ
แมคคาร์ธี ถือเป็นตัวแทนของเขตแคลิฟอร์เนียทางตอนเหนือของลอสแองเจลิสกล่าวว่าเขาจะไปเยือนไต้หวันหากเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาฯ ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์เขาก่อนการไปเยือนเกาะไต้หวันแนนซี เปโลซี ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
ในตอนนั้นรัฐบาลปักกิ่งตอบโต้ต่อการเยือนของเปโลซีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมด้วยการปิดล้อมไต้หวันเกือบสมบูรณ์ ตามด้วยการซ้อมรบทางทหารรอบเกาะซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในขอบเขต
นอกจากนี้ รัฐบาลยังตัดช่องทางการสื่อสารกับสหรัฐฯ รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการแลกเปลี่ยนทางทหาร ทำให้ทำเนียบขาวถูกตราหน้าว่า “แสดงปฏิกิริยาต่อเรื่องดังกล่าวมากเกินไป”
ทั้งนี้ประธานสภาฯถือ เป็นผู้ที่ 2 ในสายการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดี รองจากรองประธานาธิบดี ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา โดยประธานสภาฯ คนสุดท้ายที่มาเยือนไต้หวันก่อนเพโลซีคือ นิวท์ กิงริช พรรครีพับลิกันในปี 2540 ในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน พรรคเดโมแครต
นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองในนิวยอร์ก ระบุว่า การเยือนของเพโลซีอาจเป็นบรรทัดฐานให้ประธานสภาฯ คนอื่น ๆ จะต้องปฏิบัติตาม ท่ามกลางกระแสกดดันจากพรรคสองฝ่ายให้มีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นต่อจีน
นักวิเคราะห์มองว่า การเยือนของเพโลซี “ยกระดับมาตรฐานสำหรับประธานสภารุ่นหลัง โดยเฉพาะพรรครีพับลิกัน ทั้งหมดนี้ต้องแน่ใจว่าแมคคาร์ธีจะต้องวางแผนการเดินทางของเขาเอง เพื่อไม่ให้มีการหยามจีนมากจนเกินไป”
ถึงอย่างไร แม้ในตอนแรก ไบเดนจะพยายามกีดกัน เพโลซี ในการเยือนไต้หวันครั้งดังกล่าว และเธอก็ไม่ได้ขอโทษรัฐบาลกรุงปักกิ่งแม้แต่น้อยต่อการกระทำดังกล่าว โดยไบเดน ยืนยันในภายหลังว่าการแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติทำให้เขาไม่มีอำนาจในการหยุดประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเดโมแครตได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ไบเดนเองก็เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐฯ จะปกป้องไต้หวันในกรณีที่มีการโจมตีทางทหารจากแผ่นดินใหญ่ ความคิดเห็นดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามต่อจุดยืนอันยาวนานของสหรัฐฯ เกี่ยวกับ “ ความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์ ” ต่อไต้หวัน ซึ่งเป็นนโยบายที่จงใจคลุมเครือว่าจะปกป้องไต้หวันหรือไม่
ซึ่งทางทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เปลี่ยนนโยบายที่มีต่อไต้หวันในเวลาต่อมา
ฟากฝั่งความเห็นจากนักวิเคราะห์ของ Eurasia Group คาดการณ์ว่าการตอบสนองของจีนอาจ “ค่อนข้างรุนแรงน้อยกว่า” กว่าการตอบสนองต่อการเยือนของ เพโลซี เนื่องจากส่วนหนึ่ง มาจาก ความพยายามล่าสุดของ ไบเดนและประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีนในการรักษาเสถียรภาพของความสัมพันธ์ และการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของจีนหลังโควิด