“ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี-พ่อของลูก 3 คน-ตาและปู่ของหลาน 7 คน ส่งคำขออนุญาตกลับบ้านตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 จะเริ่มขึ้น
“ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้วที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมายและวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเองด้วยความรักผูกพันกับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา”
ความในใจข้อแรก คือกลับบ้านครั้งนี้ ไม่เป็นภาระใคร-พร้อมเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
ทักษิณกลับบ้านครั้งสุดท้าย เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เขารอจนการรัฐประหารปี 2549 คลี่คลาย และชัยชนะเป็นของพรรคพลังประชาชน นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลที่มี “สมัคร สุนทรเวช” เป็นนายกรัฐมนตรี
การกลับไทยในวันนั้น ทักษิณดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขอย้อนรอยฉากเหตุการณ์วันนี้อีกครั้ง
เวลา 09.45 น. เที่ยวบิน TG 603 ที่นำทักษิณมาจากฮ่องกงได้แตะพื้นรันเวย์ สนามบินสุวรรณภูมิ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยตัวแทนแกนนำอดีตพรรคไทยรักไทย ได้เดินเข้าไปภายในตัวเครื่องบินเพื่อเชิญทักษิณ
เมื่อแกนนำอดีตไทยรักไทยได้เข้าไปถึงตัวของทักษิณ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ได้เป็นตัวแทนมอบพวงมาลัยดอกไม้สด ให้กับอดีตนายกฯ และกล่าวว่า “ขอต้อนรับท่านสู่ประเทศไทย” จากนั้นเดินนำทักษิณออกจากตัวเครื่อง ผ่านประตูทางเชื่อมทาง GATE4
เมื่อเดินทางมาถึงปากทางประตูเข้าห้องรับรองพิเศษที่คุณหญิงพจมานพร้อมกับ น.ส. พิณทองทา และน.ส.แพทองธาร รวมทั้งครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์รอให้การต้อนรับ พ่อแม่ลูกชินวัตรก็โผเข้ากอดกันแน่น
ทันทีที่ทักษิณเดินผ่านประตูออกมาด้านหน้าห้องรับรองวีไอพี ก็ได้ก้มลงกราบที่พื้น 1 ครั้ง ก่อนที่จะเดินไปโบกมือให้กับประชาชนที่มาคอยต้อนรับอยู่บริเวณด้านหน้าห้องรับรอง โดยได้กระโดดขึ้นไปยืนบนขอบทางข้างป้ายบริษัทท่าอากาศยานไทย พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณกลุ่มประชาชนที่มาต้อนรับ
ประชาชนที่มารอต้อนรับได้พร้อมใจกันเปล่งเสียงตะโกนคำว่า “ทักษิณๆๆๆๆ” ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ในขั้นตอนทางกฎหมาย เมื่อถึงไทย ทักษิณมุ่งหน้าไปที่ศาลฎีกา เพื่อแสดงตัวในคดีที่ศาลฎีกาได้ออกหมายจับในคดีดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ในคดีการทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท
ศาลฎีกาได้ปล่อยตัวทักษิณชั่วคราว ตีราคาหลักทรัพย์ 8 ล้านบาท ทำสัญญาประกัน ยึดสมุดเงินฝาก แจ้งอายัดเพิกถอนหมายจับ-ห้ามทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และห้ามกระทำการใดอันจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดี
ต่อมา ทักษิณมุ่งหน้าไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด โดยเข้าพบนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อรายงานตัวตามหมายจับ และรับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนการสอบสวนของดีเอสไอ ในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
อัยการพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวออกไป พร้อมกำหนดเงื่อนไขให้รายงานต่ออัยการทุกครั้งที่จะเดินทางออกนอกประเทศ
ฉากที่เผยความในใจของทักษิณเกิดขึ้นที่โรงแรมเพนนินซูล่า ที่บริเวณหน้าห้องสกุนตราซึ่งใช้เป็นห้องแถลงข่าว ทักษิณพร้อมภริยาและลูกทั้ง 3 คน ได้หยุดนั่งพับเพียบและก้มลงกราบพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ติดอยู่หน้าห้องดังกล่าว
หลังจากนั้น ทักษิณขึ้นกล่าวความในใจบนเวที โดยมีภริยาและลูกยืนอยู่ด้านหลังเพื่อให้กำลังใจ
“หลังเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 มีความรู้สึกอยากกลับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. เพราะมีน้ำใจนักกีฬา เมื่อจบก็คือจบ ตั้งใจเดินทางกลับ แต่เมื่อทุกคนอยากให้อยู่ต่อสักพักก็อยู่ และได้โทร.ติดต่อกับคณะปฏิวัติ เพื่อบอกว่ามีน้ำใจนักกีฬา อยากให้ช่วยสร้างความปรองดองแก่ชาติ เพราะตอนแรกนึกว่าจะอยู่ 2-3 เดือน เพราะเป็นคนอยู่ติดบ้าน และอยากอยู่กับครอบครัวในประเทศไทย แต่ในที่สุดเมื่อเหตุการณ์ไม่สามารถยุติได้ เลยต้องอยู่ต่อจนเกือบ 18 เดือน ถือว่านานมาก”
“ในตอนที่ออกจากประเทศไทย เป็นนายกฯ ไปประชุมอาเซม และประชุมสหประชาชาติ เพื่อหาเสียงให้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกฯ ขณะนั้น โดยไปด้วยความตั้งใจทุ่มเท แต่วันนี้กลับถูกกล่าวหา เปรียบเหมือนเป็นผู้ต้องหาสำคัญ รู้สึกเสียใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนและครอบครัวน่าเสียใจ ต้องขอแสดงความเสียใจกับประชาชน ในเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งคนที่เหนื่อยและลำบากที่สุดคือประชาชน จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย”
“วันนี้เดินทางกลับประเทศ เพราะมีการเลือกตั้งเสร็จแล้ว และประชาธิปไตยกลับคืนมา จึงจำเป็นต้องกลับมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และรักษาชื่อเสียงที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม อยากกราบเรียนทุกฝ่ายว่า การกลับมาครั้งนี้ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง บางคนสงสัยว่า มีนักการเมืองไปมาหาสู่ตน ก็เป็นธรรมชาติไม่ใช่หรือ ที่คนไทยที่รู้จักกัน ไม่ได้เจอกันนานๆ ต้องมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง มันเป็นวัฒนธรรม ที่คนเหล่านี้คิดถึง เพราะบางคนมีโอกาสส่งเสริมให้ทำงานการเมือง เขาก็คิดถึงและมาเยี่ยมเยียน แต่ไม่ได้หมายความว่าตนจะกลับมาสู่การเมือง”
“วันนี้ผมขออาศัยเป็นคนไทยคนหนึ่ง ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ผมไประเหเร่ร่อนทั่วโลก ขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีแผ่นดินไหนที่จะให้ความอบอุ่นผมและครอบครัว เท่าแผ่นดินไทย จะขอกลับมาอาศัยอย่างมีความสุข ความอบอุ่น และขอตายในผืนแผ่นดินไทยนี้ ขอให้ทุกคนที่ห่วงว่า ผมจะมาแข่งขันทางการเมือง สบายใจว่าผมจะใช้ชีวิตอย่างสันติ สร้างสรรค์ ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว”
“ปีนี้อายุ 59 ปีแล้ว ชีวิตคนเราไม่ยาวนาน ถ้าช่วงสุดท้ายได้ทำประโยชน์ให้สังคม และอยู่กับครอบครัว ก็เป็นความสุขที่ปรารถนา ยืนยันจะขอใช้ชีวิตกับครอบครัวลูกเมีย และขอพักผ่อนสร้างความสุขให้ตัวเองบ้าง เพราะตรากตรำทำงานทุ่มเทให้ บ้านเมืองมาตลอด วันนี้ขอกลับมาอยู่บนแผ่นดินไทย จะใช้เวลากับการต่อสู้คดี รักษาชื่อเสียงที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมกับทำงานด้านการกุศล การกีฬา การศึกษา สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยก็พร้อมจะทำ”
“ขอบคุณประชาชนที่ให้กำลังใจมาตลอด 17 เดือนทั้งที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกกล่าวร้ายต่างๆ ก็ยังให้กำลังใจ หลายคนที่ไปรับที่สนามบินและจุดต่างๆ ก็ต้องขอโทษที่ไม่ได้ไปทักทาย เพราะคนรักษาความปลอดภัย ไม่สบายใจที่จะให้ไปเดินเช่นนั้น ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ และขอให้สื่อช่วยทำหน้าที่ให้ดี เพื่อให้ประเทศไทยกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง ให้ประเทศเข้มแข็งและยืนหยัดอยู่ได้”
หากเป็นไปตามปฏิทินทางการเมืองที่ทักษิณเคยประกาศ ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ คนไทยทั้งประเทศคงได้ฟังความในใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง