ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ระส่ำระสาย หลัง 7 รัฐมนตรี ภท. สไตรค์ไม่ร่วมประชุม ครม. งัดข้อปมต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ผ่านมา 1 สัปดาห์ สถานการณ์ความสัมพันธ์ ‘ราชสีห์กับสูง’ ดีขึ้นบ้าง แต่การประชุม ครม. วันนี้ (15 ก.พ.) ช่วงต้นถึงกลางประชุม “บิ๊กตู่” อารมณ์ดี
แต่เมื่อถึงช่วงกลางมีเรื่องพิจารณา เมื่อถึงวาระพิจารณาให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน
ในระหว่างพิจารณา “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” รมช.เกษตรและสหกรณ์ จากพรรคภูมิใจไทย เสนอให้ปรับคำจาก “ค่าเสี่ยงภัย” เป็นคำอื่นแทน เพราะมองว่าสถานการณ์ในพื้นที่ จ.ชายแดนภาคใต้ ดีขึ้นแล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นคนที่ดูรุนแรงเกินไป จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีอารมณ์ที่เปลี่ยนไป โดยย้ำถึงการใช้คำว่า “ค่าเสี่ยงภัย” เพราะเจ้าหน้าที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีเจ้าหน้าที่คุ้มครอง ทำให้บรรยากาศที่ประชุมเปลี่ยนไปจากช่วงต้นทันที แต่สุดท้าย ครม. ก็เห็นชอบในเรื่องนี้
อีกทั้งการประชุม ครม. ในวันนี้ใช้เวลาหลายชั่วโมง นานกว่าปกติ เพราะมีประเด็นสำคัญ คือ การรับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 โดย ‘วิษณุ เครืองาม’ ได้อธิบายแนวทางต่างๆ พร้อมแยกประเด็นซักฟอกได้ 15 ประเด็น โดยมีแนวทาง คือ นายกฯ จะเป็นผู้กล่าวเปิดหัวเมื่อถูกซักถาม เพราะทราบหลักการทั้งหมด จากนั้นจะให้รัฐมนตรีชี้แจงลงรายละเอียดเพราะเป็นผู้ปฏิบัติ
ภายหลังการประชุม ครม. นายกฯ ปฏิเสธให้สัมภาษณ์สื่อ โดยเดินเร็วด้วยสีหน้าเข้มขรึม แต่เมื่อถูกถามว่ากลัวสภาพ ‘เกลือเป็นหนอน’ หรือไม่ หากฝ่ายรัฐบาลส่งข้อมูลให้ฝ่ายค้านถึงกับหันขวับสวนกลับสื่อว่า “เกลือเป็นหนอนหรอ ก็อยู่แถวนี้แหละ” พร้อมชี้มาทางนักข่าว ซึ่งในการรบคำว่า “เกลือเป็นหนอน” นั้นอยู่ในตำราขงเบ้งที่ว่า “ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน” ที่เปรียบเป็น ‘มิตรจอมปลอม’ นั่นเอง
ตรงกับสถานการณ์ที่ไม่ไว้ใจกันเองของ “พรรคร่วมรัฐบาล” และ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” จนกลายเป็นเรื่อง “แก้แค้นกันเอง” เข้าสำนวนที่ว่า “สนิมเนื้อใน” ที่กัดกร่อนรัฐบาลอยู่ทุกวัน แม้ปากพูดไม่อับปาง แต่รูรั่วเต็ม “เรือเหล็ก” ลำนี้แล้ว