คงจะเคยได้ยินหรือคุ้นตาเป็นประจำสำหรับชาวกรุงเทพฯ กับป้ายสโลแกน “กรุงเทพฯ…ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว” คำโฆษณาที่ปรากฏหรูหราอยู่ใจกลางกรุง นานวันเข้า เจอแดด เจอฝน เจอลม เจอรถติด ผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี คำๆ นี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งคุณภาพชีวิตคนกรุงก็ไม่ต่างกันใช่ไหมล่ะครับ
ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมครับว่า สโลแกนคำนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นานพอหรือยัง ที่จะทำให้มันกลายเป็นคำโกหกคำโตๆ หรือเป็น มีม (Meme) ล้อเลียนกันอยู่ในปัจจุบัน
ย้อนกลับไปในปี 2547 สมัยผู้ว่าฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ มีการแถลงถึงความตั้งใจในการปรับเปลี่ยนทิศทางกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองหลวงที่น่าอยู่และยั่งยืน ด้วยองค์ประกอบ 4 ประการคือ มิติทางด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านวัฒนธรรม และมิติด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว พร้อมตราสัญลักษณ์ลายประจำยามคล้ายดอกไม้ 4 กลีบ 4 สี โดยเปิดตัวงานในวันที่ 30 สิงหาคม 2547 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน
4 กลีบ 4 สีที่ว่านั้น มีสีอะไรและแต่ละสีสื่อถึงอะไรบ้าง
กลีบสีเขียวของดอกไม้ หมายถึง มิติด้านคุณภาพชีวิต ที่กำหนดให้ประชาชนต้องมีความมั่นคงในคุณภาพชีวิต ระบบสัญจรความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินในเมืองหลวงต้องดีขึ้น ประชาชนสามารถเข้าบริการขั้นพื้นฐาน อย่าง การศึกษา การแพทย์ การกีฬา บริการจากสำนักงานเขตได้อย่างคลอบคลุม ตลอดไปถึงการมีส่วนร่วมในการกำหนดวิถีชุมชนด้วยตัวเอง
กลีบสีฟ้าของดอกไม้ หมายถึง มิติด้านสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดให้มีการตกแต่งเมืองให้สวยงามเพื่อรับเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว สร้างความเขียวชอุ่มให้แก่เมือง (City Greenways) สร้างทางเท้าน่าเดินทางจักรยานน่าใช้ (Street Greenways) สนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในสร้างความร่มรื่นให้กับชุมชน รวมถึงกำหนดวาระการลดมลภาวะ น้ำ อากาศ เสียง ขยะ อย่างจริงจัง
กลีบสีชมพูของดอกไม้ หมายถึง มิติด้านวัฒนธรรม ที่จะผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรม (City of culture) ที่จะมีกิจกรรมดนตรีไทยและนานาชาติ ภาพยนตร์และนิทรรศการศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย เพิ่มคุณค่าด้านย่านสำคัญทางประวัติศาสตร์ ร่วมกับชุมชนในการฟื้นฟูเอกลักษณ์ของท้องถิ่นผ่านการเชื่อมโยงศิลปะชุมชนสู่คนสู่เป้าหมายการเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว
กลีบสีส้มของดอกไม้ หมายถึง มิติทางเศรษฐกิจที่สมดุล ที่กำหนดให้มีการสร้าง Bangkok Brand สนับสนุนเศรษฐกิจชานเมือง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนทุกระดับ พัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงาน อำนวยบริการขั้นพื้นฐานแก่นักลงทุนและนักธุรกิจต่างประเทศ ผ่านการจัดตั้งศูนย์ The foreign investment advisory center และศูนย์ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวต่างชาติด้านข้อมูลการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ หรือ Foreigner call center
เป็นตลกร้ายที่ตามหลอกหลอนชาวกรุงในทุกคืนวัน ผ่านไปกว่า 18 ปี จากผู้ว่าฯอภิรักษ์ ผู้ว่าฯสุขุมพันธ์ จนถึงผู้ว่าฯ อัศวิน เจ้าของวลี กรุงเทพฯ ต้องไปต่อ สิ่งเหล่านี้แทบจะไม่เป็นที่ประจักษ์ให้พบเห็น กลีบของดอกไม้ที่ว่า ดูเหมือนจะเป็นแค่คำลวง มากกว่าคำมั่นที่ให้ไว้ ไม่เชื่อลองค้นหาศูนย์ข้อมูลที่กล่าวถึงแทบจะไม่เจอเลยครับ หรือถูกน้ำฝน น้ำรอระบายพัดผ่านหายไปตามกาลเวลา สิ่งสำคัญที่สุดของงานยากของกรุงเทพฯ คือ การบริหารและจัดการ มิใช่การสร้างคำสวยหรูขึ้นเพื่อมาตบตาชาวกรุง 22 พฤษภานี้ อย่าลืมชี้ชะตากรุงเทพฯ อีกครั้งครับ