การเมืองวันนี้รู้ไว้ไม่ตกข่าว : โพล ชัชชาติ นำโด่ง – อภิสิทธิ์ ชี้ เพื่อไทย ไม่พ้น ทักษิณ

เว็บไซต์ Newsxtra สรุปข่าวการเมืองในรอบวัน ประจำวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม ดังนี้

นิด้าโพล ชัชชาติ นำโด่ง :

“นิด้าโพล” เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “สนามเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. 65 รอบที่ 2” อันดับ 1 ร้อยละ 44.58 ระบุว่าเป็น ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (อิสระ) อันดับ 2 ร้อยละ 11.42 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 3 ร้อยละ 11.27 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง (อิสระ) อันดับ 4 ร้อยละ 8.99 ระบุว่าเป็น ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (พรรคประชาธิปัตย์) อันดับ 5 ร้อยละ 6.93 ระบุว่าเป็น ดร.วิโรจน์ ลักขณาอดิศร (พรรคก้าวไกล) อันดับ 6 ร้อยละ 5.75 ระบุว่า ไปลงคะแนน อันดับ 7 ร้อยละ 3.17 ระบุว่าเป็น นายสกลธี ภัททิยกุล (อิสระ) อันดับ 8 ร้อยละ 2.51 ระบุว่าเป็น น.ต.ศิธา ทิวารี (พรรคไทยสร้างไทย) อันดับ 9 ร้อยละ 2.28 ระบุว่าเป็น น.ส.รสนา โตสิตระกูล (อิสระ) อันดับ 10 ร้อยละ 2.14 ระบุว่า จะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

สวนดุสิตโพล ชัชชาติ ยังนำ :

สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในสายตาคนกรุงเทพฯ” อันดับ 1 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 39.94% อันดับ 2 อัศวิน ขวัญเมือง 14.16%อันดับ 3 สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 13.37% อันดับ 4 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร 10.00% อันดับ 5 ศิธา ทิวารี 4.01% อันดับ 6 สกลธี ภัททิยกุล 3.09% อันดับ 7 รสนา โตสิตระกูล 1.94% อันดับ 8 ผู้สมัครอื่น ๆ 1.47% และ ยังไม่ตัดสินใจ 12.02% ถามว่า คนกรุงเทพฯ กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯกทม.” วันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค. 2565 ไปแน่นอน 82.20% คงจะไป 11.86% ไม่แน่ใจ 4.32% คงจะไม่ไป 1.62%

อภิสิทธิ์ ชี้ เพื่อไทย ก้าวไม่พ้น ทักษิณ :

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนึ่งถึงกรณีการชู น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ามานำพรรคเพื่อไทย และแนวคิดจะพานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรีกลับประเทศ จนมีความกังวลว่าอาจเกิดรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้งว่า ต้องยอมรับว่ามีความกังวลตรงนี้อยู่ เพราะก็เกิดความรู้สึกว่าในที่สุด พรรคเพื่อไทยก็ยังก้าวไม่พ้นครอบครัวชินวัตร สมมุติพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และให้คนในครอบครัวมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ไม่เป็นอะไรถ้าประชาชนเลือกมา แต่ต้องอย่าย้อนกลับไปสู่พฤติกรรมของการเอื้อประโยชน์ให้กับคนในครอบครัว พวกพ้อง หรือทำอะไรที่ฝืนกับหลักธรรมาภิบาล รวมถึงมีแนวคิดที่จะนิรโทษกรรม

นายกฯ ห่วงย้ายฐานการผลิต หากขึ้นค่าแรง :

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ร่วมงานด้วย โดยให้สัมภาษณ์ถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่า กำลังพิจารณาหารือกันอยู่ หากจะขึ้นค่าแรง จะสามารถขึ้นได้เท่าไหร่ หากยังไม่ขึ้น ก็ต้องดูอัตราเงินเฟ้อด้วย เพราะบางครั้งมันสูงมาก สิ่งสำคัญตอนนี้คือการย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น ซึ่งหากที่อื่นถูกกว่า ก็อาจจะย้ายไปทั้งหมด ก็จะทำให้ลำบาก โดยเรื่องค่าแรงไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการนี้ แต่อยู่ที่การเดินข้างนอก ทั้งนี้ ยืนยันว่า ก็ดูประเด็นนี้อยู่แล้ว มีอะไรก็ขอให้สอบถามรัฐมนตรีแรงงาน

พิธา เดินขบวนวันแรงงาน :

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำ ส.ส.ก้าวไกล ร่วมกันเดินขบวนไปพร้อมกับกลุ่มสหภาพแรงงานที่มารวมตัวกันหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องสิทธิ เนื่องในวันเเรงงานแห่งชาติ และวันเเรงงานสากล 1 พฤษภาคม 2565 กล่าวว่า ถึงเวลาที่พวกเราต้องสู้ในเรื่องรัฐสวัสดิการ ซึ่งจะไปสู่จุดนั้นได้ต้องเริ่มจากการลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นลง ไม่ว่างบประมาณด้านความมั่นคง หรืองบที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ตรวจสอบไม่ได้ เพื่อนำมาสร้างรัฐสวัสดิการให้กับประเทศไทย พรรคก้าวไกล เสนอให้มีเบี้ยบำนาญเพื่อคนหลังวัยเกษียณถ้วนหน้า 3,000 บาท เสนอให้มีการจ้างงานและระบบพัฒนาคนทำงานเพื่อไปดูเเลผู้สูงอายุ

ไพศาล เผย ปชช.เตรียมร้องสอบ ซุกหนี้ 1 ล้านล้าน :

นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ภาคประชาชนเตรียมร้อง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบไต่สวนผู้มีอำนาจหลายคน ที่สมคบกันซุกหนี้สาธารณะกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายเงินคงคลัง ผิดกฎหมายงบประมาณ ผิดกฎหมายว่าด้วยหนี้สาธารณะ หลายกรรม หลายกระทง ในสัปดาห์หน้านี้ ใครจะถูกร้องให้ไต่สวนบ้าง คงจะมีความชัดเจนในสัปดาห์หน้านี้ ข้อหาความผิดนั้นร้ายแรง ถึงขั้นติดคุกไม่ได้ผุดได้เกิด และถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะสูงสุดในประวัติศาสตร์ ถึง 10 ล้านล้านบาท และมีการก่อหนี้แผ่นดินอีกกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ซุกไว้ไม่ลงบัญชีเป็นหนี้สาธารณะ และเมื่อรวมแล้วก็จะทำให้หนี้สาธารณะสูงมากกว่า 11 ล้านล้านบาทเศษ หรืออาจจะถึง 12 ล้านล้านบาทก็ได้ และเกิน 10% ของ GDP