ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ชี้ วงจรอุบาทว์ การเมืองไทย คนจนขายเสียง สมอง ไม่คิดถึง “หน้าที่” เลือกคนดี เข้าสภา ปูด 30 ล้านจ่าย ส.ส.โหวตล้มรัฐบาล
(2 พ.ค.) นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ผมสืบทราบมาว่า มีการต่อรองราคากันระหว่าง 5-30 ล้านบาทต่อคน เพื่อให้ ส.ส.จำนวนหนึ่งยกมือในการไม่ไว้วางใจเพื่อล้มรัฐบาลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าหรืออาจจะกระทำกันก่อนในการพิจารณาไม่ผ่าน พ.ร.บ. งบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลก็เป็นได้ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็แสดงว่าระบบการเมืองของไทยได้พัฒนามาถึงขั้นเลวร้าย ที่อาจเรียกได้ว่า บัดซบที่สุด แล้วนะครับ
นายไตรรงค์ กล่าวว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร มันก็เริ่มที่วงจรอุบาทว์ของการ ขายเสียง ขายตัว นั่นแหละครับ
“คนจนจำนวนมหึมาในไทย (แม้อาจจะไม่ทุกคน) ต่างก็ต้อง ครุ่นคิดอยู่ทุกวินาทีถึงการหาเงิน ว่าจะมาซื้อข้าวสารกรอกหม้อหุงให้ลูกกินอิ่มท้องในแต่ละวันได้อย่างไร เนื้อสมองของเขาในส่วนที่ช่วยคิดก่อนตัดสินใจ จึงไม่มีพอจะมาคิดถึงเรื่อง “หน้าที่” ในการเลือกคนดีที่มีทั้งความสามารถและคุณธรรมเพื่อให้เข้าไปดูแลบ้านเมืองในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยในสภาผู้แทนราษฎร คนเลว ๆ จำนวนหนึ่งจึงสามารถหลุดรอดเข้ามาเป็น ส.ส. โดยการใช้เงินซื้อเสียงกันเข้ามาแล้วก็มายกมือให้เจ้าของเงิน หรือไม่ก็มาขายตัวให้กับพวกนักการเมืองที่มีเงินมากกว่า เพื่อแลกกับการซื้ออำนาจทางการเมืองของเจ้าของเงิน ผู้ซื้อมักจะอ้างว่าอยากเข้ามาบริหารประเทศให้ดีขึ้น แต่ประวัติศาสตร์ก็ชัดเจนแล้วว่าพวกนี้มีอำนาจทางการเมืองที่ไร ก็จะโกงกินบ้านโกงกินเมืองกันทั้งฝูงและทั้งตระกูลกันทุกที”
นายไตรรงค์ กล่าวว่า มองในแง่ร้าย ถ้าระบอบประชาธิปไตยแบบของเรา ยังไม่สามารถสกัดกั้นมิให้พวกคนชั่วใช้เงินที่ได้มาอย่างสกปรกในการซื้ออำนาจรัฐในทางการเมืองได้ (โดยเฉพาะถ้าเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเปิดทางเกื้อหนุนให้ทำได้สะดวก) แล้วเราจะมาเรียกร้องขอประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากกว่านี้กันไปเพื่อใคร เพื่ออะไร เราจะมาเสี่ยงชีวิตทะเลาะเบาะแว้งทุบตีกันเพื่อเรียกร้องและรักษาไว้ซึ่ง ระบอบที่อ่อนแอ อย่างนั้นหรือ
นายไตรรงค์ กล่าวว่า ระบอบที่อ่อนแอทั้งทางด้านศีลธรรม และอ่อนแอทั้งในทางจริยธรรม เช่นนี้เป็นภัยถ่วงความเจริญของชาติ เราจะรั้งระบบเช่นนี้กันไปอีกทำไม จงถามใจท่านดูเถิดว่า ท่านจะยอมให้ลูกหลานต้องอยู่ภายใต้ระบอบที่ชั่วร้ายนี้ไปอีกนานเท่าใด
“คณะผู้นำของรัฐบาลที่มีแผนงาน คิดการณ์ไกลต้องการให้ชาติไทยรุ่งเรือง ให้ผ่านพ้นวิกฤติกาลให้ได้ในอนาคต จึงจำเป็นต้องจับมือกันไว้ให้มั่นคง อย่าหลงไปสนใจได้ปลื้มกับน้ำลายของพวกอ้ายคนชั่วขี้โกงทั้งหลาย วิญญูชนทั่วไปย่อมรู้ดีว่า คนไหนดีคนไหนชั่ว ถ้าคณะผู้นำไม่ยืนหยัดสามัคคีกัน ปล่อยให้กิเลสฝ่ายต่ำเข้าครอบงำจิตใจจนไถลเสียจุดยืนที่ชอบธรรม ประเทศก็อาจจะต้องกลับไปประสบกับความฉิบหาย และวุ่นวายอย่างที่เคยเกิดขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 2544-2557 อีกก็ได้”
นายไตรรงค์ กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีอุดมการณ์ ไม่ลองร่วมมือกับพวกคนรุ่นกลางดูละครับ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ขาวมากนัก (ซึ่งในการทำงานการเมือง คนที่เป็นขาวล้วนนั้นไม่เคยมีอยู่แล้ว) แต่เป็นแค่เทาอ่อนๆ ที่มีประสบการณ์ มีทฤษฎี และยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำดี ยังมีตัวตนสอดแทรกอยู่ในพรรคการเมืองต่าง ๆ ทั้งที่เป็นพรรคที่เกิดขึ้นใหม่และในพรรคการเมืองที่ทั้งใหญ่และเก่าแก่ คนรุ่นกลางจำนวนไม่น้อยนะครับ ที่พร้อมจะสลัดตัวออกมาจากการถูกครอบงำโดยอิทธิพลอันเก่าคร่ำครึ เขาก็เบื่อกับการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นำพรรคเพียงหยิบมือเช่นกันครับ
“จงอย่าหันหลังให้กัน ไม่ลอง ลดทิฐิมานะ นั่งจับเข่าคุย กันเพื่อหาแนวทางที่พอจะรับกันได้โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการแสวงหาระบอบการเมืองและกฎเกณฑ์ที่พอจะป้องกันการซื้ออำนาจทางการเมืองของคนชั่วคนเลวด้วยเงินที่สกปรกให้ได้ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คนอย่างผมคงไม่มีกำลังพอและคงไม่มีปัญญาพอที่จะคิดออก แม้ยังไม่หมดความหวังและความพยายามแต่ก็อ่อนกำลังเต็มทน ช่วยกันหน่อยเถิดครับถือว่าช่วยทำบุญให้แก่ประเทศที่เราเป็นหนี้บุญคุณ ต้องช่วยกันทำอะไรๆให้ดีที่สุด ก่อนที่เราจะตายจากประเทศนี้ไปนะครับ”
นายไตรรงค์ กล่าวว่า อย่าให้ต่างชาติเขามาแอบนินทาว่า เรามีคนตั้ง 67 ล้านคน แต่ไม่มีใครมีปัญญาพอ จนต้องรอพึ่ง ปืน มาแก้ปัญหาการซื้อเสียงด้วย กล้วย 5-30 ล้านบาท เพื่อป้องกันมิให้บ้านเมืองเละไม่มีดีจากฝีมือของนักการเมือง (เฉพาะที่ชั่วและเลว) อย่างที่เคยเป็นมา ถ้ายังเป็นอย่างนี้ เรื่องที่ไม่ควรจะต้อเกิด อาจจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ก็เป็นได้ครับ