“สกลธี” ปลื้มคะแนนนิยมพุ่งช่วงโค้งสุดท้าย หลังคำว่า “สกลธี ภัททิยกุล”ขึ้นอันดับ 1 คำค้นในกูเกิ้ลเทรนด์ ไม่หวั่นคนมองเชื่อมโยงการเมืองระดับชาติเพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
วันที่ 19 พ.ค. นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 3 ในนามอิสระกล่าว ถึงคะแนนนิยมของตน ที่มีกระแสเพิ่มขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งว่า จากที่ดูตอนนี้มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี กระแสเพิ่มขึ้นมาก เชื่อว่าเป็น ผลจากการที่ตนและทีมงานทำงานอย่างหนักทั้งการลงพื้นที่พบปะประชาชนด้วยตัวเอง การสื่อสารผ่านโซเชียลสื่อออนไลน์ สื่อหลัก และเดินสายดีเบตในเวทีต่างๆ ทำให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจและรู้จักมากขึ้น ทำให้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน
ทั้งนี้ สิ่งที่ตนตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าในครั้งแรกนั้นก็มีเพียงความตั้งใจจริงที่ต้องการจะเข้ามาทำงานสานต่อในสิ่งที่เคยทำไว้ตั้งแต่สมัยรองผู้ว่า แต่ไม่สามารถทำได้เพราะอำนาจจำกัดจริงๆ จึงตัดสินใจที่จะลงสมัคร และหลังจากนั้นก็พยายามเดินหน้าหาเสียง ด้วยตัวเองและทีมงานมาโดยตลอด สม่ำเสมอ ในตอนแรกอาจจะยังมีคนที่รู้จักน้อยเพราะยังไม่รู้ในตัวตนและนโยบายมากนัก แต่ทุกคนก็มุ่งมั่น จนถึงวันนี้ กระแสมากระเตื้องขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ทำให้เห็นว่ามีผู้คนเริ่ม ให้ความสนใจ เห็นได้จากการแสดงความชัดเจนของ หลายๆคน เช่น เอนฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองชื่อดัง ดารา ศิลปิน ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ หลายคน ที่เขียนสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, อัญชลี ไพรีรักษ์, นิติพงษ์ ห่อนาค, สินจัย หงษ์ไทย หรือ สื่อมวลชน อย่างเปลว สีเงิน, บากบั่น บุญเลิศ และอีกหลายๆคน รวมทั้งประชาชนที่คอยสนับสนุนตนอยู่ ซึ่งยอมรับว่าฐานส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม กปปส.เดิม และอาจจะมีผสมมาจากกลุ่มประชาธิปัตย์บางส่วน เพราะตนเองอยู่ประชาธิปัตย์มา 10 กว่าปี และออกมาก็ไม่มีเรื่องบาดหมางใดๆ ยังเคารพพรรคเสมอในฐานะที่ให้กำเนิดตนทางการเมือง ดังนั้นจึงพี่ๆหลายคนที่ส่งเสียงมาว่าเลือกเบอร์ 3 แน่นอน
นายสกลธี กล่าวต่อว่า ในช่วงแรกอาจจะถูกมองว่าเป็นคนที่อยู่นอกสายตา อาจจะไม่มีสิทธิ์ที่จะได้คะแนน นำ หรือถูกมองเป็นม้ารอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่มาถึงตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นจากกระแส และการสำรวจ น่าดีใจว่า มีคนสนใจที่เข้าดูรายละเอียดเกี่ยวกับตัวของตนมากขึ้น เช่นใน จากหลังวันที่ ขึ้นเวที เสียงในวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีการค้นหาชื่อสกลธี ในกูเกิ้ลเทรนด์ ขึ้นเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะในวันที่ 13 พ.ค. เป็นการค้นหามากที่สุด ขึ้นอันดับ 1 ของไทย และในวันต่อๆมา ชื่อสกลธียังคงเป็นคำค้นที่ถูกค้นหามากที่สุด ของกรุงเทพฯ ต่อเนื่องกันมา 3-4 วัน ซึ่งทำให้เห็นในยนัยยะที่น่าสนใจ
สำหรับจุดแข็งของตนเอง ที่ถูกถามบ่อยๆ นั้น นายสกลธี กล่าวว่า ยังคงคิดว่า เป็นเรื่องของวัยการทำงานที่ตอนนี้ตอนมีอายุเพียง 44 ปี มีพลังอย่างเต็มเปี่ยมที่จะลงไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและทำงานอย่างเต็มที่ สองคือแม้ว่าจะอายุน้อยแต่ว่าประสบการณ์ทำงานทางการเมืองมีมากว่า 16 ปีและยังเป็นรองผู้ว่าฯ และ ส.ส.มาอีก 4 ปี และสามคือแนวคิดของตนเรื่องการหาเงินได้ใช้เงินเป็น เป็นสิ่งที่นำเสนอเป็นคนแรก เพราะจากที่ทำงานและเห็นปัญหามาทำให้รู้ว่าควรจะไปปรับแก้ไขตรงไหน ถ้าไม่แก้ไขก็ทำไม่ได้ เช่นอยากเลิกเรื่องที่ กทม.ต้องเลิกเก็บขยะเอง แต่มีเรื่องอะไรลึกลับดำมืดอยู่ข้างใน ทำให้อยากเข้าไปแก้ไข
“ภาพสุดท้ายคือความเป็นอิสระจริงๆ หลายคนก็จะมองว่าผมอยู่พลังประชารัฐ แต่ผมก็มีความชัดเจน เพราะถ้าหากจะลงพลังประชารัฐก็คงจะลงตั้งแต่แรก ไม่ต้องออกมาให้เหนื่อย ต้องบอกว่าทุกวันนี้ไม่ได้มีใครช่วยผมเลย ผมลาออกตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วและก็สู้มาแบบนี้ ผมคิดว่าถ้าเลือกผมผมจะไม่ต้องไปตอบแทนใครจริงๆ ผมจะตอบแทนเฉพาะพี่น้องประชาชน ถึงเวลาไม่ต้องมีใครส่งมา เราจะเลือกคนที่ทำงานได้ใช้ ซึ่งผมคิดว่าดี และผมก็ได้เปิดทีมงานของผมหมดแล้ว นั่นคือเราอยากจะทำก็ทำในอย่างที่เราอยากจะทำและคิดว่ามีประโยชน์ที่สุดกับคนกรุงเทพฯ”
นายสกลธี กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องคนที่มองว่าจุดอ่อนของตน คือเรื่องการเชื่อมโยงกับ คมช., คสช รัฐบาล การเมืองระดับชาติ นั้นคงปฏิเสธไม่ได้เพราะมันเป็นความเชื่อมโยงที่เกี่ยวเนื่องกันมา ทั้งบิดาของตน หรือ ผู้ใหญ่ที่รู้จักและให้โอกาสตนมาทำงาน แต่ถ้าหากพิจารณาจากความตั้งใจของตน ก็คงจะเห็นว่าเป็นคนอย่างไรและทำงานมุ่งมั่นตั้งใจอย่างไร จากการที่ไปดีเบตคนก็คงรู้อย่างเรื่องของความอิสระ ถ้าคนไม่อิสระจริงๆอีกไม่นานก็ต้องรู้ แต่สำหรับสกลธีด้วยการที่ทำเองกับ ทีมงานก็มีอยู่ สิ่งที่ทำเต็มที่ถึงเวลาคนต้องเห็นแน่นอน