แก้วิกฤติการเมืองใหม่แบบ “พิธา” ทางออกที่ “ประยุทธ์”

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่างวันที่ 16-19 ก.พ. ที่ผ่านมา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แทบจะเป็นคนเดียวที่ชำแหละ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามญัตติที่ว่า ไม่ยึดมั่นและศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำลายและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง

การอภิปรายของ “พิธา” พยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดจากการอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ยิ่งจะเพิ่มความขัดแย้ง ไม่ใช่หนทางแห่งการสร้างสันติสุข ไม่อาจนำไปสู่ความปรองดองได้

เขา บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เข้าใจหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมยกคำพูดของ ศ.พิเศษ หยุด แสงอุทัย ปรมาจารย์ด้านนิติศาสตร์ ที่กล่าวไว้ในอดีตว่า

“ในเวลานี้ในประเทศไทยยังมีรัฐมนตรีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคน เอาพระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้สิทธิสามประการ คือสิทธิที่จะได้รับการปรึกษาหารือ สิทธิที่จะทรงสนับสนุน และสิทธิที่จะทรงตักเตือนไปใช้ในทางที่ผิด

กล่าวคือ มักจะนำพระราชดำรัสในการที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้สิทธิสามประการดังกล่าวนั้น ไปเผยแพร่แก่สื่อมวลชนบ้าง แก่บุคคลอื่นบ้าง การที่ทำเช่นนั้นอาจเป็นโดยเจตนาดี เพราะเห็นว่าจะเป็นที่เชิดชูพระเกียรติบ้าง หรือเห็นว่าแสดงว่าได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยบ้าง หรือเป็นเกียรติที่ได้เข้าเฝ้าและสนองพระราชประสงค์บ้าง ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งนั้น คำแนะนำหรือตักเตือนของพระมหากษัตริย์ย่อมต้องเป็นความลับ เพราะมิฉะนั้นผู้ที่ไม่เห็นชอบด้วยจะนำไปวิพากษ์วิจารณ์ และทำให้องค์พระมหากษัตริย์ไม่เป็นที่เคารพสักการะ ถ้าคณะรัฐมนตรีจะรับคำแนะนำตักเตือนไปปฏิบัติ ต้องปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบของตนเอง จะอ้างพระมหากษัตริย์มิได้ เพราะเป็นการนำพระมหากษัตริย์ไปทรงพัวพันกับการเมือง”

พิธา กล่าวว่า แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. ได้ออกมาชี้นำการเมือง บอกให้ประชาชนเลือกคนที่ ‘ทำให้สถาบันปลอดภัย’ และเมื่อพรรคการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สนับสนุนชนะการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมารัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลนั้น การอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้งของท่าน อาจคิดว่าต้องการแสดงความจงรักภักดี แต่มันกลับส่งผลร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้สถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง

ขณะเดียวกัน เวลานี้มีการขังผู้ชุมนุมตามมาตรา 112 อย่างไม่มีกำหนด และหลังจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าประชาชนอีกหลาย 100 คน จะต้องถูกจองจำด้วยกฏหมายดังกล่าว ทั้งที่เดิมที พล.อ.ประยุทธ์ ได้อ้างว่าจะไม่ใช้กฎหมายนี้

เขา เห็นว่า กฎหมายลักษณะนี้ จะยิ่งสร้างความแตกร้าวให้กับประชาชนกับสถาบันขึ้นไปอีก จึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อมีการชุมนุมต่อต้านวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

พิธา กล่าวว่า สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องที่ควรทำ ไม่กล้าทำ เรื่องที่ไม่ควรทำ กลับขยันทำ ผูกขาดความจงรักภักดีไว้ที่ตัวเอง อ้างพระมหากษัตริย์เป็นเกราะคุ้มกันปกป้องตัวเองตลอดเวลา ตนไม่เชื่อว่าการใช้มาตรา 112 อย่างพร่ำเพรื่อจะเป็นผลดีต่อสถาบัน ตรงข้ามคือจะยิ่งสร้างความแตกร้าวระหว่างกับประชาชนและสถาบันมากขึ้นไปอีก

#newsxtra#เกาะติดปรองดอง