ตามรายงานของ Bloomberg ณ สิ้นปี 2565 ประชากรของอินเดียอยู่ที่ 1.417 พันล้านคน ในขณะที่ตามข้อมูลที่เพิ่งเผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ประชากร ณ สิ้นปี 2565 มีจำนวนน้อยกว่า 1.412 พันล้าน น้อยกว่าอินเดียเล็กน้อย
อย่างไรก็ ตามก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติ หรือ UN (United Nation) ได้ออกมาเปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด ว่าในอนาคตอันใกล้ในอีกไม่เกิน 6 ปีนับจากนี้ อินเดียจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแทนจีน นั่นคือภายในปี ค.ศ. 2027
โดย Yi Fuxian นักวิทยาศาสตร์อาวุโสแห่งมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison กล่าวกับนิตยสาร Time ว่า “จำนวนประชากรของจีนเริ่มลดลงเร็วกว่าที่เจ้าหน้าที่จีนและการคาดการณ์ของสหประชาชาติคาดการณ์ไว้ 9-10 ปี ซึ่งหมายความว่าวิกฤตด้านประชากรศาสตร์ที่แท้จริงของจีนนั้นเหนือความคาดหมายจากการะประเมิน”
การขึ้นแท่นกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกของอินเดียนั้นแทบจะไม่น่าแปลกใจเลย เอเชียใต้โดยรวมมีประชากรมากกว่าจีนประมาณ 1.8 พันล้านคนแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 12 ปี และเชื่อว่าหากอินเดียไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นอินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ ในสมัยล่าอาณานิคม ประชากรของอินเดียที่ไม่มีการแบ่งแยกประเทศนี้ก็จะมีจำนวนมากกว่าของจีนแล้ว
“สองประการสำคัญที่ทำให้จำนวนประชากรของอินเดียมีมากกว่าจีน“
ประการแรก อินเดียมีประชากรสูงเป็นประวัติการณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ราบทางตอนเหนืออันอุดมสมบูรณ์ ความมั่นคงทางอาหารและความสมบูรณ์ของพื้นที่เนื่องด้วยเหตุผลทางภูมิอากาศ จึงเป็นไปได้ที่จะปลูกทั้งข้าวสาลี ซึ่งเป็นธัญพืชในฤดูหนาว และข้าว ซึ่งเป็นธัญพืชในฤดูร้อน โดยให้ผลผลิตอาหารมากเป็นสองเท่าของส่วนอื่นๆ ของโลก
ประการที่สอง อินเดียมีการออกกฎ ปรับเปลี่ยนอัตราการเจริญพันธุ์ที่สูงขึ้นนั้นช้ากว่าจีน เนื่องจากความล่าช้าในการให้ความรู้แก่ผู้คน ทำให้การคุมจำนวนประชากรไม่เหมือนนโยบายของจีนในช่วงที่ผ่านมา แม้ตอนนี้
อินเดียจะได้เสนอร่างกฎหมายจำกัดให้แต่ละครอบครัวมีบุตรได้ไม่เกิน 2 คนออกมาซึ่งภายใต้กฎหมายนี้ ได้ระบุว่า หากครอบครัวใดมีบุตรมากกว่า 2 คน จะไม่ได้รับสวัสดิการ และความช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยจะไม่สามารถสมัครงานในหน่วยงานของรัฐฯ ได้
แต่ก็มองว่าประชากรของอินเดียจะยังคงเติบโตต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากชาวอินเดียจำนวนมากกำลังเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ชาวอินเดียสองในสามมีอายุต่ำกว่า 35ปี นอกจากนี้ การลดลงของอัตราการเจริญพันธุ์ไม่ได้เกิดขึ้นทั่วทั้งรัฐของอินเดียด้วยซ้ำ
ในรัฐอุตตรประเทศและรัฐพิหารซึ่งมีประชากรพูดภาษาฮินดีมีประชากรหนาแน่น อัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 2.35 และ 2.98 ต่อผู้หญิงหนึ่งคนตามลำดับ
ในขณะที่ในรัฐทางใต้หลายรัฐ อัตราการเจริญพันธุ์ต่ำกว่า 2.1 และหากเทียบภาวะเจริญพันธุ์ในกลุ่มชาติพันธุ์นั้นลดลงทั่วกลุ่มศาสนา ภาษา และชาติพันธุ์ โดยอัตราการเกิดของชาวมุสลิมลดลงจาก 4.4 เป็น 2.6 ในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน อัตราการเกิดของชาวฮินดูลดลงจาก 3.3 เป็น 2.1 เด็กต่อผู้หญิงหนึ่งคน
อย่างไรก็ตาม อาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งก่อนที่จะมีตัวเลขอย่างเป็นทางการจากอินเดียที่ยืนยันจำนวนประชากรที่แท้จริงของอินเดีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2424เป็นต้นมา อินเดียจัดให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทุกๆ 10 ปี โดยการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดจัดขึ้นในปี 2554 เนื่องจากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2564 ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังไม่มีความชัดเจนว่าการสำรวจสำมะโนประชากรจะมีขึ้นจริงเมื่อใด
โดยนักวิเคราะห์ ส่วนใหญ่ เชื่อว่าการสำรวจสำมะโนประชากรจะเกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียในปี 2567 และดูเหมือนว่าเหตุผลอย่างเป็นทางการของทางการอินเดียจะอ้างเลื่อนการสำรวจเพราะเรื่องโรคระบาดก็ตาม แต่ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนประชากรวรรณะ ประชากรทางศาสนา การกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ความสมดุลของประชากรระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ ลึกๆ แล้วล้วนเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่อยากนำมาแจกแจงก่อนการเลือกตั้งใหญ่
“นัยของการที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก“
แม้อินเดียยังคงมีปัญหาความยากจน ปัญหาความตึงเครียดระหว่างกัน ตลอดจนการเข้าถึงโอกาสและการศึกษาที่ไม่ทั่วถึง แต่อินเดียก็เป็นประเทศที่เปี่ยมไปด้วยพลวัตความคิดความหลากหลาย และการเปลี่ยนแปลง ด้วยประชากรมากกว่าสองในสามอยู่ในวัยทำงาน อินเดียจึงต้องคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อเติบโต
และในขณะที่ยังคงมีการว่างงานและการจ้างงานนอกระบบอยู่มาก การผลิตก็แห่กันไปที่อินเดีย ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่นโทรศัพท์มือถือ และเซมิคอนดักเตอร์และอินเดียกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามในโลกภายในสิ้นทศวรรษ อินเดียกำลังขยายโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการสร้างรถกึ่งความเร็วสูงที่สร้าง ขึ้นโดยชนพื้นเมือง
และวัฒนธรรมอินเดียกำลังบุกเข้าสู่พื้นที่ทั่วโลกมากขึ้น อย่างล่าสุดที่ภาพยนตร์ภาษาเตลูกูเรื่อง “RRR” เพิ่งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่องแรกจากภาพยนตร์อินเดีย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ อินเดียกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ แทนที่จะทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมให้กับทฤษฎีเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของผู้อื่น อินเดียพยายามเลียนแบบรูปแบบเอเชียตะวันออกในการผลักดันให้เกิดการผลิตในประเทศเหนือรูปแบบการค้าเสรี ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ในตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ และอินเดียมีจุดยืนที่เป็นอิสระมากกว่าจะสนับสนุนฝ่ายตะวันตกหรือรัสเซียในช่วงความขัดแย้งในยูเครน ท่าทีเหล่านี้เป็นความเชื่อว่าอินเดียจะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในอนาคต
ในการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้โดย Morning Consult ชาวอินเดียมองว่าสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามทางทหารที่ใหญ่ที่สุดรองจากจีน ขณะที่ปากีสถานอยู่อันดับที่สาม นั่นอาจแสดงว่า สถานะของอินเดียนั้นเปลี่ยนจากการทำหน้าที่เป็นพื้นที่ “ดุลอำนาจ” ระหว่างสหรัฐฯ รัสเซีย และจีน เป็นการเริ่มต้นการเป็นมหาอำนาจด้วยสิทธิของประเทศตนที่มีอยู่นั่นเอง
ที่มา The diplomat