เกือบหนึ่งปีหลังสงคราม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางของสงครามมีมากขึ้นกว่าเดิม ในช่วงหกเดือนแรก ตอนนี้เป็นการยากที่จะบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปและใครได้เปรียบ ทั้งสองฝ่ายอาจ เตรียมการโจมตีครั้งใหม่ และทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญกับความ สูญเสียในสนามรบและ ความสามารถ ใหม่ที่ทำให้ยากต่อการแยกแยะจุดแข็งที่สัมพันธ์กันของพวกเขา
แน่นอนว่า สงครามในยูเครนกำลังเข้าสู่ช่วงใหม่ และยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ กำลังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ความกลัวต่อการเพิ่มขึ้นของอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียกำลังลดลงเนื่องจากความกลัวของสงครามที่ยาวนานซึ่งมีการขัดสีอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้น ดังนั้น คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนจึงเพิ่มการสนับสนุนยูเครนในขณะนี้ด้วยความหวังที่จะได้ข้อยุติทางการทูตในที่สุด ซึ่งเป็นกลยุทธ์ “ยกระดับสู่การลดระดับ” ที่อาจพิสูจน์ได้ยากในการดำเนินการ
“การยกระดับของ Biden ในยูเครนจึงเป็นเรื่องของการทูตไม่ใช่ชัยชนะ”
ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน อาจเชื่อว่าพันธมิตรที่ดีที่สุดของเขาคือเวลา หากเขาสามารถทุบโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนต่อไปได้ ในขณะที่อย่างน้อยก็รักษาสิ่งที่เขามีในสนามรบไว้ได้ บางทีเขาอาจสร้างงานยิงกระสุนที่ยืดเยื้อซึ่งกำลังพลที่เหนือกว่าของรัสเซียจะพิสูจน์ให้เห็นถึงการชี้ขาด
ยูเครนมองว่าเวลาเป็นศัตรู ต้องใช้ประโยชน์จากกองกำลังที่อ่อนแอและขาดอุปกรณ์ของรัสเซียในขณะนี้ ก่อน ที่กองทหารรัสเซีย ที่ระดมเข้ามาใหม่เพิ่มเติมจะมาถึงสนามรบ ก่อนที่การผลิตด้านการป้องกันของรัสเซียจะใช้อุปกรณ์ ระดับสูง และก่อนที่การสนับสนุนจากผู้สนับสนุนตะวันตกของเคียฟจะลดน้อยลง
ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ จึงปรับปรุงกลยุทธ์ใน 3 วิธี
ประการแรก เป็นกำหนดเป้าหมายการทำสงครามของอเมริกาในรูปแบบใหม่ที่ดีกว่าสถานการณ์ ปัจจุบัน กล่าวคือ ในเดือนธันวาคม รัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน ประกาศว่าสหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะช่วยยูเครนปลดปล่อยดินแดนที่สูญเสียไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022
แต่ไม่จำเป็นต้องทุกตารางนิ้วของดินแดนที่ปูตินขโมยมาตั้งแต่ปี 2014 เป้าหมายของสหรัฐฯ คือยูเครนที่มีการป้องกันทางทหาร เป็นอิสระทางการเมือง และ มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องรวมถึงการยึดคืนพื้นที่ที่ยากลำบากเช่น Donbas ทางตะวันออกหรือไครเมีย
ประการที่สอง สหรัฐฯ และพันธมิตรกำลังส่งอาวุธที่มากขึ้นให้กับยูเครนไม่ว่าจะเป็น เรือบรรทุกบุคลากรติดอาวุธ ขีปนาวุธแพทริออต และรถถังที่สามารถทะลวงผ่านการป้องกันหลายชั้นของรัสเซียได้ นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯยังมุ่งสู่การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ระยะไกลที่สามารถทำลายแนวรบพื้นที่ด้านหลังของรัสเซียได้ อย่าง ระเบิดขนาดเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ยิงจากพื้นดิน (small diameter bomb) ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือที่กำลังจะมีขึ้น โดยอาวุธดังกล่าวมีพิสัยเกือบสองเท่าของเครื่องยิงจรวด HIMARS อย่างไรก็ดี แม้ไบเดนเพิ่งกล่าวว่าสหรัฐฯ จะไม่จัดหาเครื่องบินรบ F-16 ให้กับยูเครน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาเคยพูดเกี่ยวกับการจัดหารถถังของอเมริกาเช่นเดียวกัน ดังนั้นคงรอเวลาจนกว่าที่สหรัฐฯ จะเปลี่ยนใจ
ประการที่สาม ภาพขอไครเมียที่ยูเครนโจมตีเมื่อกลางปีที่ผ่านมาโดยความสนับสนับสนุนจากสหรัฐฯ ถือแป็นหัวใจสำคัญและคำถามว่านี่คือการยั่วยุหรือไม่?
และแม้ปูตินได้พูดเรื่องการยกระดับหลายครั้งจนคำขู่สูญเสียความน่าเชื่อถือและเรื่องนี้จะเป็นความท้าทายสำหรับรัสเซียเองและเนื่องจากไครเมียมีความสำคัญต่อปูตินมาก การขู่ว่าจะสูญเสียไครเมียอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบังคับให้เขาเจรจาอย่างจริงจัง
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ เหล่านี้ดูเหมือนจะไปในทิศทางตรงกันข้าม แต่ก็มีตรรกะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ในระยะยาว สหรัฐฯ ไม่ต้องการให้สงครามยืดเยื้อ เพราะมันกำลังทำให้ยูเครนส่วนใหญ่กลายเป็นดินแดนรกร้าง ขณะเดียวกันก็สูญเสียคลังสมบัติ คลังแสง และสูญเสียความสนใจของชาติตะวันตก
ไบเดน จึงตั้งเป้าหมายที่จะช่วยให้ยูเครนลดแรงกดดันต่อกองกำลังรัสเซียในอนาคต และอาจเปลี่ยนแนวทางให้เอื้อประโยชน์แก่ยูเครนมากขึ้น เพื่อเป็นหนทางสู่การเจรจาภายหลังการสู้รบระยะต่อไปสิ้นสุดลง
ฉะนั้น กลยุทธ์นี้ไม่มีอะไรง่ายเลย ดังที่เห็นได้จากเสียงอึกทึกครึกโครมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงเรียกและร้องว่า ใครจะให้รถถังประเภทใดแก่ยูเครน
ทั้งนี้ ไบเดนกำลังเดิมพันว่ามีจุดที่น่าสนใจที่รัสเซียจะสั่นคลอนมากพอที่จะเจรจา แต่จะไม่บานปลาย เรื่องนี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องติดตามต่อไปต่อการเดิมเกมเพื่อการทูตมิใช่เพื่อการชนะ