ตัวตึงทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยกับภารกิจใหม่ “คิดใหญ่ ทำเป็น”


การเลือกตั้งที่จะมาถึงนอกจากจะเป็นการเลือกภายใต้นิยามของการเปลี่ยนอนาคตประเทศ สร้างสมดุลใหม่การเมืองด้วยการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล แล้วยังหมายความรวมถึงโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ที่จะเข้ามายังประชาชนที่อดรนทนรอมานานนับกว่า 8 ปี ในชุดนโยบายเศรษฐกิจที่จะแก้ปัญหาปากท้องพวกเขาได้อย่างแท้จริง

ทุกฝ่ายจับตามองไปยังพรรคเพื่อไทย ที่ครั้งนี้มาพร้อมภายใต้ร่มเงาใหญ่ คิดใหญ่ ทำเป็น พิสูจน์ให้เห็นว่าเพื่อไทยทำมาแล้วตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย ในชุดนโยบายที่ถูกเส้น ถูกจริต คนไทยอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบายเรือธงของพรรคสีแดงย่านพระราม 9 แห่งนี้

แม้จะโซซัดโซเซไปบ้างหลังผลการเลือกตั้งออกมาได้อันดับ 1 แต่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล พกเก้าอี้ส.ส.เขตมาเต็มสภา แต่ขาดส.ส.บัญชีรายชื่อ จนออกอาการไร้หัว จนต้องปรับตัวเป็นขนานใหญ่ ลามไปถึงโลโก้พรรคชนิดที่ว่า โลโก้ พ และ ท ของเพื่อไทยนั้นต้องมีหัว ปรับฮวงจุ้ยขนานใหญ่นานัปการ หมอไหนที่ว่าดีก็ปรับตามให้ถูกโฉลก (แต่คงเว้นหมอหนู ไว้คนหนึ่งกระมัง)

จนมาถึงวันนี้เพื่อไทยมีความพร้อมพอสมควรในเรื่องตัวบุคคลและความเป็นเอกภาพที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับหลังเลือกตั้งปี 62 มีสาขาชูโรงเดินหน้าคู่ขนานทั้งครอบครัวเพื่อไทยภายใต้หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร และพรรคภายใต้การนำของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ไปพร้อมๆ กัน เรียกได้ว่าหลอมพลังสู้สุดฤทธิ์

จนมาถึงสัปดาห์นี้ข่าวเพื่อไทยออกมากระตุ้นต่อมชาวบ้านอีกครั้งเมื่อมีการเปิดตัว เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจชื่อดังในเครืออสังหาริมทรัพย์อย่างแสนสิริ และหลังเปิดตัวได้ไม่นาน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ

โดยมีนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช หรือ หมอมิ้ง อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานด้านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังมี พันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษาด้านนโยบาย 3 นายกรัฐมนตรี ฉายา “มันสมองแห่งชาติ”

เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ชื่อถูกเอาโยนหินถามทางมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนปีนี้ได้ฤกษ์เปิดตัวเข้าพรรคอย่างเป็นทางการ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศ โดยก่อนหน้าเคยผ่านงานอย่างที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และหากจะย้อนไปในอดีตเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายการเงินคลัง รมว.คลัง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เจ้าของฉายา “ซาร์เศรษฐกิจ” (ในเมื่อก่อน) และกรรมการที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและเลขานุการของ “ทักษิณ ชินวัตร”

ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้า และที่ปรึกษานายกฯ ด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ และในปี 2551 เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (อันดับ 1) รับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และเป็นกรรมการยุทธศาสตร์พรรคมาร่วมเป็นที่ปรึกษา

กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกอบจ. เชียงใหม่ เป็นรองประธานในคณะกรรมการชุดนี้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศในด้านต่างๆ มาให้คำปรึกษา ได้แก่

นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ นักวิชาการด้านการเกษตร ที่จะแปรเปลี่ยนผลิตผลทางการเกษตรให้เป็นรายได้ ซึ่งปีที่แล้วมีการเปิดตัวพร้อมแนวคิดที่จะยกเครื่องเกษตรกรไทยให้พ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ปักธงเกษตรก้าวหน้า ‘ปลูกเงินจากดิน เปลี่ยนชีวิตพลิกฟื้นเกษตรกรไทย’

พงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ อดีตผู้บริหารฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่นอกจากจะเป็นกรรมการด้านเศรษฐกิจชุดนี้แล้ว ยังลงสมัครส.ส.เขต 2 ฉะเชิงเทรา คว้าเก้าอี้เพื่อไทยกลับคืนมาหลังพปชร. ชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ ชิงชัยไปในครั้งที่แล้ว

ขณะเดียวกันยังเสริมทัพด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทย เช่น จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ จักรพงษ์ แสงมณี นักธุรกิจผู้ประกอบการรุ่นใหม่ กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. จังหวัดหนองคาย พรรคเพื่อไทย อดีตผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าการลงทุนชายแดน ศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส. จังหวัดเลย พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านไอทีและอาชญากรรมทางไซเบอร์ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ รวมทั้ง ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ ผู้ประกอบการด้านธุรกิจยานยนต์ เรียกได้ว่า มาคราวนี้เพื่อไทย คิดใหญ่จริงๆ

การแถลงของพรรคเพื่อไทยวันนี้นอกจากจะเป็นการระดมคนพลพรรคด้านเศรษฐกิจ จัดยาแต่ละขนานให้กับประเทศ วางตำแหน่งแห่งที่ให้ถูกงานถูกคนแล้ว ยังทิ้งท้ายตอกกลับนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาวิจารณ์การเข้ามาของเศรษฐา ทวีสิน ว่า ประเทศไทยไม่ใช่ธุรกิจ โดยหมอมิ้งทิ้งท้ายว่า

“หากเปรียบการบริหารเศรษฐกิจของประเทศเป็นเหมือนบริหารบริษัท ก็ต้องเป็นบริษัทที่ประชาชนทุกคนเป็นผู้ถือหุ้น ประโยชน์ต้องนำมาแบ่งปันแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ไม่ใช่บริหารประเทศให้ประโยชน์แก่พี่น้องและพรรคพวกของตนโดยทอดทิ้งประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศไทยให้ฟื้นแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง เพราะเราเคยทำมาแล้ว ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง อุทกภัยครั้งสำคัญ และมาถึงตอนนี้ ซากปรักหักพังที่เกิดขึ้นจะฟื้นกลับมาด้วยฝีมือของพรรคเพื่อไทย”

ไม่รู้ว่าประเทศหลังการเลือกตั้งจะเป็นแบบไหนจะบริหารแบบบริษัทหรือแบบกองทัพ หรือแบบใด รอติดตามในเวลาอันใกล้ เพราะเวลางวดเข้ามาทุกที