ทุกบทสัมภาษณ์ของลุงป้อมหลังเลือกตั้ง เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
เป็นความอารมณ์ดีผิดปกติของหัวหน้าพรรคการเมืองที่นำพาลูกน้องเข้าสภาฯ ได้เพียง 40 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ผิดจากที่ประเมินไว้ในใจเกือบครึ่ง
โดยเฉพาะที่ประเมินว่าจะได้เก้าอี้จากสมุทรปราการ และนครราชสีมา
ในภาพรวมทั้งสภาฯ โดยเฉพาะในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ยังเป็นตัวเลขที่ไม่มาตามนัดอีกด้วย
บัญชาแรกหลังเลือกตั้งของลุงป้อม คือ บัญชาให้องคาพยพของพรรคพลังประชารัฐ “เงียบ” และ “ปล่อย” ให้พรรคก้าวไกล เดินเกมจัดตั้งรัฐบาลไปให้สุดทาง
ตรงกับที่ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ว่า “ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเนื่องจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้นโยบายยังไม่ให้มีการเคลื่อนไหวใดๆ ให้รอ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นพรรคจะมีการเรียกประชุมและสัมมนาว่าที่ส.ส.ของพรรค”
ในรอยยิ้ม และการกบดานอย่างเงียบสงัดที่ป่ารอยต่อมีอะไรซ่อนอยู่? สารพัดดีล หรือหาทางลงอย่างราบรื่น? เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ต่างพยายามตีความ
ในชั้นแรก เป้าหมายของบ้านป่ารอยต่อคือเป็นพรรครัฐบาลให้ได้ และจะเป็นทั้งในชื่อ พรรคพลังประชารัฐก็ได้ หรือจะเป็นทั้งในชื่อพรรคอื่นๆ ก็ได้
ในชั้นที่สอง ผู้นำทางการเมืองในคณะรัฐมนตรีชุดหน้า ต้องรับกับกระแสสังคมว่า “มีลุง ไม่มีเรา มีเรา ไม่มีลุง” นั่นหมายถึง ต้องไม่ใช่ “ประยุทธ์-ประวิตร-อนุพงษ์” ที่ยืนเด่นในคณะรัฐมนตรี แต่เป็นสมาชิกตระกูลวงษ์สุวรรณคนอื่นๆ
ในชั้นนี้ สอดรับกับที่ “รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา นิด้า ให้ความเห็นไว้ว่า “เราต้องมีรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากเกิดขึ้น ตามกลไก คือ ก้าวไกล และ เพื่อไทย หากพิธาหลุด ต่อจากนี้ไปคือ แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย แต่หากใครมองว่าต้องเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นั้น รอเผชิญหายนะของประเทศได้เลย”
แต่ช่องทางไปสู่หายนะที่ว่า มีหรือไม่ เป็นสิ่งที่คนการเมืองไม่เคยปฏิเสธ
ในชั้นที่สาม เมื่อมองไปที่ลุงป้อม ไม่เพียงปรากฏภาพ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ 40 คนรายล้อมอยู่ แต่ยังปรากฏภาพ ส.ว. อยู่ขนานกันอย่างเด่นชัด
สภาพเช่นนี้ จึงมีแนวโน้ม ที่ 40 ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ บวกด้วย ส.ว. จำนวนหนึ่ง จะยอมยกมือโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย
ในชั้นนี้ สอดรับกับที่ “ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นไว้ว่า “ผมเห็นว่าต้องเป็นรัฐบาล เพื่อไทย ก้าวไกล แน่นอน แต่นายกฯ จะเป็นพิธาหรือไม่ แต่ผมคิดว่าจบที่พรรคเพื่อไทย โดยไม่ไปถึงสูตร จับมือกับ พรรคพลังประชารัฐ เพราะหากให้ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านจะเสี่ยงมาก และรอบหน้าก้าวไกลจะแลนด์สไลด์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยจะแพ้มากกว่านี้ ดังนั้นหากพิธา ไม่ได้เป็น ต้องจบที่เพื่อไทย ส่วนจะเป็น เศรษฐา ทวีสิน หรือ แพทองธาร ชินวัตร นั้นเป็นอีกเรื่อง”
ในรอยยิ้มนั้น คือยังคุมเกมการเมืองไทยไว้ได้ ในความเงียบนั้น คือภารกิจที่ดำเนินไปของผู้จัดการรัฐบาลคนใหม่!!