(3 พ.ย.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ร่วมงานวันครบรอบ 13 ปี ของการก่อตั้ง “พีมูฟ” ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ระบุว่า ผมเองก็ได้เป็นหนึ่งในคนที่ถูกสร้างและเติบโตขึ้นมาจากสายธารการต่อสู้นี้ จะไม่มีธนาธรในวันนี้เลยถ้าผมไม่ได้มีโอกาสช่วงหนึ่งในชีวิต ในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสายธารนี้
ธนาธร กล่าวว่า 13 ปีของพีมูฟ เป็น 13 ปีของการต่อสู้ของคนธรรมดา คัดค้านโครงการที่ไม่เป็นธรรมของรัฐและกลุ่มทุน สร้างความตระหนักรู้ให้สังคมไทยได้ทราบถึงปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจากคนตัวเล็กตัวน้อย และการผลักดันประเด็นที่ไม่ใช่แค่ปัญหารายประเด็นเป็นเรื่องๆ ไป แต่เป็นการผลักดันที่ไปถึงโครงสร้าง และสิ่งที่เป็นภาพรวมของประเทศ
ธนาธร กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ถืออำนาจ คือพันธมิตรระหว่างชนชั้นนำจารีต ผูันำกองทัพ และกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่มีวาระประเทศไทยของพวกเขาเอง ซึ่งไม่ใช่การพัฒนาประเทศ พัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เจริญรุ่งเรือง หรือการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม แต่คือการรักษาระบบระเบียบปัจจุบันเอาไว้ให้พวกเขาเสวยสุข ครองอำนาจนำทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคมได้ตลอดไป เป็นวาระที่ไม่มีประชาชนอยู่ในนั้น
ผมคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ มีความท้าทายที่เราต้องขบคิดและทำงานร่วมกัน ไปสู่การต่อสู้ของภาคประชาสังคมและผู้รักความเป็นธรรมทั่วประเทศ ในปี 2567 อยู่ 4 เรื่องด้วยกัน
1) การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ในเวลานี้มีความท้าทายสองประเด็นหลัก คือเราจะสามารถผลักดันให้เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ได้ทุกหมวดทุกมาตรา และทำให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งหมดได้หรือไม่
2) การนิรโทษกรรมคดีการเมืองย้อนกลับไปถึงปี 2549 โดยไม่รวมบุคคลที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิต หรือคดีทุจริต โดยความท้าทายในวันนี้คือจะสามารถทำให้เกิดการนิรโทษกรรมแก่คดี 112 ได้ด้วยหรือไม่
3) การกระจายอำนาจ ซึ่งในปีหน้า สมาคมของผู้บริหารและข้าราชการท้องถิ่น กำลังจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหมวด 14 ว่าด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะผลักดันได้สำเร็จหรือไม่
4) ที่ดิน ซึ่งเป็นประเด็นที่แม้แต่คนในรัฐบาลหลายคนเองก็อยากผลักดัน ไม่ว่าจะเกิดจากแรงจูงใจแบบใดก็ตาม ฝ่ายค้านก็พร้อม แต่กลไกหลักที่สุดที่จะทำการสกัดขัดขวางเรื่องนี้แน่นอน ก็คือรัฐราชการไทย
คำขวัญที่มีการประกาศออกมา ในการจัดงานครบรอบ 13 ปีพีมูฟ ก็คือ “ที่ดิน เสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรม” ซึ่งผมเห็นพ้องด้วยกับการชูประเด็นที่ดินเป็นเรื่องนำหน้า เพราะนี่คือปัญหาที่ใหญ่จริงๆ ของสังคมไทย ที่ภายในปี 2567 ข้างหน้านี้ ควรจะต้องมีการปักธงเรื่องนี้ให้สำเร็จต่อไปให้ได้ หลังจากที่ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเราทำสำเร็จไปแล้วในการปักธงความคิดลงในสังคมเรื่องรัฐธรรมนูญ การกระจายอำนาจ และอีกหลายๆ เรื่องที่เป็นวาระที่ก้าวหน้าของสังคม
การปฏิรูปที่ดินให้เกิดความเป็นธรรม มีทั้งเรื่องที่สามารถทำได้โดยอาศัยเพียงอำนาจรัฐมนตรี ในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แก้ไขกฎกระทรวง หรือคำสั่งอธิบดีต่างๆ ที่เป็นปัญหา และมีเรื่องที่ต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมายตัวใหญ่ๆ หลายฉบับในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ให้เกิดการจัดทำประมวลกฎหมายที่ดินใหม่ทั้งระบบ รวมทั้งการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด
ในระยะข้างหน้านี้ ผมเสนอว่าต้องมีการผลักดันในเรื่องที่เป็น “ควิกวิน” ที่ทั้งภาคประชาสังคม ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล สามารถเห็นร่วมกันได้ เช่น การแก้ไขในระดับกฎกระทรวงที่รัฐมนตรีสามารถลงนามมีผลได้ทันที ใช้ทุกกลไกไปผลักดันในประเด็นเดียวกัน สะสมชัยชนะจากจุดเล็กๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับการติดตามและร่วมผลักดันวาระการแก้ไขกฎหมายที่ดินทั้งระบบ ซึ่งอาจจะรวมถึงการเสนอร่างฯ ของภาคประชาชนมาประกบร่วมกันด้วย
แต่อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน และมีความสอดคล้องไปกับวาระการนิรโทษกรรมคดีการเมืองในวันนี้ ก็คือการนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่ถูกดำเนินคดีในกรณี “ทวงคืนผืนป่า” ซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจเผด็จการของ คสช. ไปดำเนินคดีกับประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม
คดีทวงคืนผืนป่าอาจไม่เป็นที่รับรู้มากในสังคม แต่มันคือเรื่องที่ส่งผลต่อคนในวงกว้าง เป็นจำนวนกว่า 46,000 คดี ทั้งที่กรณีส่วนใหญ่ยังคงเป็นข้อพิพาทที่ยังต้องมีการพิสูจน์สิทธิ์อยู่ การนิรโทษกรรมคืนความเป็นธรรมให้กับพวกเขาคือก้าวแรกที่สำคัญ ที่จะต้องทำไปพร้อมกับการผลักดันวาระการปฏิรูปที่ดิน
การเคลื่อนไหวเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมยังคงต้องใช้เวลาและการเดินทางอีกยาวนาน แต่ผมก็หวังว่าในปี 2567 จะเป็นปีที่เราสะสมชัยชนะเล็กๆ ไปข้างหน้าได้ไม่มากก็น้อย