“พชร นริพทะพันธุ์” นำเสนอกลยุทธ์รัฐบาลไทยต่อสู้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์

“พชร นริพทะพันธุ์” ที่ปรึกษาประธาน กสทช. นำเสนอกลยุทธ์รัฐบาลไทยต่อสู้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ จนที่ประชุมนานาชาติให้การยอมรับ

นายพชร นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษาประธาน กสทช. ได้เข้าร่วมการประชุมพหุพาคี ระหว่าง USFCC ของสหรัฐ นำโดย ประธาน Jessica Rosenwarcel กับตัวแทนผู้กำกับดูแลด้านโทรคมนาคมในประเทศกลุ่มอาเซียน ประกอบด้วย Thong Chenda ประธาน กสทช. กัมพูชา, Dr. Nguen Thanh Tuyen รองปลัดกระทรวงไอซีทีเวียดนาม, ผู้แทนจากกระทรวงไอซีทีอินโดนีเซีย, Phonpasit Phissamay ผู้แทนจากกระทรวงไอซีทีลาว, Harmi Ibrahim รองประธาน กสทช. บรูไน และ Aileen Chia รองประธาน IMDA ที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศสิงคโปร์ ตามคำเชิญของ Lew Chuen Hong ประธาน IMDA

นายพชร กล่าวว่า ในการประชุมมีสองหัวข้อหลัก คือ การบริหารจัดการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์บนธุรกิจกระจายเสียงและเครือข่ายโทรคมนาคม และการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมบนเครือข่ายโทรคมนาคม หรือ call center โดยที่ประชุมเห็นถึงความท้าทายของ Generative AI ในรูปแบบ DeepFake Video ที่ต้องมีการตั้งมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ต้องได้รับการรับรองเพื่อให้เกิดความเชื่อถือในสังคมและป้องกันการสร้างความวุ่นวายผ่านเทคโนโลยี Generative AI โดย FCC สหรัฐจะได้เริ่มออกแนวทางการกำกับดูแลและการรับรองเนื้อหาผ่านความโปร่งใสแบบสมัครใจของผู้ผลิตเนื้อหาที่จะบอกสังคมว่า เนื้อหาใดผลิตจาก AI เป็นต้น ในส่วนของไทยก็มีการศึกษาในระดับกระทรวงและการสร้างแนวทางจริยธรรมในการใช้ Generative Ai ในการผลิต เป็นต้น ทั้งนี้ ประเทศอาเซียนควรจะมีแนวทางการกำกับดูแลในประเด็นนี้ที่คล้ายๆ กัน

ที่ประชุมได้ใช้เวลาในการหารือเกี่ยวกับปัญหา call center โดยนายพชร นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษาประธาน กสทช. ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับรัฐบาล และทำงานวิชาการและบริหารจัดการในด้านกำกับดูแลในส่วนของความปลอดภัยไซเบอร์ ได้นำเสนอกลยุทธ์และแผนปฎิบัติการ ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ดำเนินการมาตลอดในปีที่ผ่านมา

“ปัญหา call center ในไทยเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะสร้างผลกระทบแก่ประชาชนเป็นวงกว้าง นายกรัฐมนตรีของไทยให้ความใส่ใจกับปัญหานี้มาก เราดำเนินการอย่างเป็นระบบ ทั้งการจดทะเบียนซิม ปิดซิมม้า และจำกัดโครงข่ายไม่ให้ถูกนำไปใช้บริการในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาความพยายามของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหา เป็นที่ยอมรับอย่างมากในแวดวงนานาชาติด้านโทรคมนาคม โดยในรายงานล่าสุดของสถาบันสันติภาพสหรัฐอเมริกา USPI:United States Peace Institute หน่วยงานของ สภาครองเกรสได้รายงานว่า call center เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ดำเนินการโดยกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้การค้ามนุษย์และยาเสพติดควบคู่กับการหาเงินผ่าน call center โดยมีฐานปฎิบัติการในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ในประเทศไทย ท่านนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในการจัดการปัญหาอย่างจริงจัง มีการเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องและออกนโยบายป้องกันที่รัดกุม โดย กสทช. ได้นำข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มาปฏิบัติร่วมกับกระทรวงดีอีเอส ซึ่งในวงประชุมวันนี้ได้ยอมรับและชื่นชมในกลยุทธ์ในการบังคับใช้กฎหมายของไทย การกำกับดูแลผู้ให้บริการและมีการนำผู้บริหารของผู้ให้บริการมามีส่วนร่วมรับผิดชอบ เกิดการจำกัดการใช้โครงข่าย บีบอาชญากรให้เปลี่ยนการเข้าถึงโครงข่ายโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต จนสามารถให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์เก็บหลักฐาน จนส่งผลให้ประเทศต่างๆ สามารถระบุตัวกลุ่มอาชญากร และสืบสวนและสอบสวนได้ง่ายขึ้น และเป็นแนวทางที่จะนำคนร้ายมาดำเนินคดี และสร้างความเชื่อมั่นในระบบโครงข่ายกลับมา” ที่ปรึกษาประธาน กสทช. กล่าว

นายพชร กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มีข้อสรุปในหลายเรื่อง เช่น การเพิ่มการทำงานร่วมกันผ่านบันทึกข้อตกลงที่มีอยู่และเพิ่มเติม เช่น ความเป็นไปได้ในการใช้ฐานข้อมูลผู้ให้บริการ SMS (white list) ร่วมกัน, การสร้างแนวข้อมูลทางเทคนิคที่อยู่อาชญากร (black list) และการสร้างมาตรฐานตามแนวปฎิบัติ (information report guideline) ผ่านชุมชุน ASEAN, การพัฒนาระบบฐานข้อมูลทางเทคนิคที่สามารถใช้ร่วมกันในชุมชน ASEAN (A2P protocol) รวมถึงการแชร์ข้อมูลแผนประทุษกรรมของอาชญากร โดยนายพชรได้ให้ความมั่นใจว่าประเทศไทยพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการสนับสนุน การบริหารจัดการต่างๆ กับประเทศในอาเซียน และจะนำข้อสรุปจากการประชุมครั้งนี้ นำเสนอต่อประธาน กสทช. ของไทย เพื่อสั่งการสำนักงาน กสทช. ในการดำเนินงานส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ที่ปรึกษาประธาน กสทช. ยังได้เข้าร่วมงาน ATX Summit 2024 ที่รวมภาครัฐและเอกชนกว่า 4 พันคน ได้พูดถึงการบริหารจัดการ การเข้ามาของเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่ของที่ประชุม โดยในส่วนของ Generative และ Predictive AI ที่จะมีส่วนในสังคม การตั้ง Data Center และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งในที่ประชุม นาย Heng Swee Keat รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ประกาศจะเป็นผู้นำทางด้าน Data Center ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและสร้าง ecosystemให้กับภาคธุรกิจ เพื่อให้เป็นผู้นำในด้าน AI และพร้อมที่จะลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น Quantum Computing ที่จะเปลี่ยนความสามารถของ AI ไปอีกขั้น