ปัจจุบัน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคมรวมถึงอาชญากร ต่างมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีนี้ ทั้งการหาประโยชน์ เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ หรือการหาทางป้องกันภัยทางสังคม
“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า รัฐบาลนี้จะมีกรอบยุทธศาสตร์เอไอ 5 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไอ ประกอบด้วยการลงทุนโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ กลางภาครัฐ และผลักดันให้หน่วยงานรัฐใช้คลาวด์สาธารณะได้ ผ่านนโยบาย Go Cloud First Policy
- การพัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยี ด้วยการทำ Open Data เปิดข้อมูลภาครัฐให้เชื่อมถึงกันรายสาขา เช่น การเกษตร การท่องเที่ยว สุขภาพ การให้บริการภาครัฐ และการเงิน
การส่งเสริมการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ของไทยผ่านกองทุนเพื่อการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ ของกระทรวงดีอี ผ่านสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล มีวงเงิน 500 ล้านบาท
- การพัฒนากำลังคนด้าน AI ทำโดยตรงผ่านดึงคนที่มีความสามารถจากต่างประเทศเข้ามาด้วยวีซ่า เช่น Global Digital Talent Visa/Long Term Residence Visa
- การเร่งรัดการใช้งานเอไอ ส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ รวมทั้งการส่งเสริมเรื่องมาตรการสินเชื่อ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10
- ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนที่ถูกหลอกลวง สร้างความน่าเชื่อถือและโปร่งใส มีการตั้งศูนย์ธรรมาภิบาลเอไอ ทำให้ AI Application มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
ยุทธศาสตร์เหล่านี้มี 3 กลุ่มคือ Hardware โครงสร้างพื้นฐาน, Peopleware คือคน และ Software หรือระบบนิเวศ โครงสร้างชั้นที่สองที่จะนำเอไอไปใช้งาน
ในเรื่อง Hardware จะเห็นภาพการโหมโปรโมตเรื่องการดึง “บิ๊กเทค” มาลงทุนตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย ทั้ง Microsoft, Google หรือ AWS ทั้งมีการเพิ่มกรอบวงเงินให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT เพิ่มขนาดคลาวด์กลางภาครัฐ
แต่ต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เปลี่ยนเร็วมาก หน่วยประมวลผลของคลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับเอไอพัฒนาความสามารถ 10-100 เท่าทุก 6 เดือน และราคาก็สูงขึ้นเช่นกัน
คำถามคือ “ช้า” เกินไปหรือไม่สำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ แน่นอนว่าในมุมภาครัฐไม่ช้า เพราะเขามีเวลาแค่ 3 ปีกว่าในอายุรัฐบาล แต่สำหรับเอกชนแล้ว พื้นที่ในการเติบโตและคืนทุนนั้นกินเวลายาวนานนับสิบปี
หลายประเทศที่ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มีการกำหนดกรอบเวลาพัฒนามามากกว่า 30 ปี
ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ที่เริ่มจากการปฏิรูปการศึกษา และการโหมลงทุนวิจัยเทคโนโลยีอย่างจริงจังตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 จนมีอุตสาหกรรมเทคฯ ขนาดใหญ่รองรับการพัฒนาด้านฮาร์ดแวร์ระดับสูงได้ หรือไต้หวันมหาอำนาจชิป วางรากฐานองค์ความรู้ด้านฮาร์ดแวร์มาตั้งแต่ทศวรรษ 1970-1980 เช่นกัน
ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีไทย ล้วนเป็นผู้นำเข้า ตัวแทนจำหน่ายของบิ๊กเทคต่างชาติทั้งสิ้น
ด้านกำลังคน หากจำกันได้เมื่อราว 4-5 ปีก่อน รัฐ-เอกชน ล้วนสนับสนุนทักษะด้านบิ๊กดาต้า แม้ง่ายต่อการอัพสกิลมาทำงานด้านเอไอ แต่ก็ทำให้เห็นว่าช่วง 4-5 ปี คนเหล่านี้ต้องเปลี่ยนสกิลใหม่อีกครั้ง
แม้จะมีการดึงคนเก่งจากภายนอกมาสอนงาน แต่ไม่กี่ปีก็ต้องสอนกันใหม่ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว จะต้องนำเข้าคนมาเรื่อยๆ ละหรือ?
ขณะที่ในด้านการตระหนักรู้และทักษะดิจิทัลสำหรับคนไทยนั้น ยังน่ากังวลเสี่ยงต่อภัยคุกคามแบบใหม่
ด้านที่สาม คือ ซอฟต์แวร์ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด ทั้งสร้างเอง หรือการนำเข้าแบบ Subscription ที่สำคัญคือ “การบำรุงรักษาระบบ” ต้องพึ่งพาเงินที่ผูกพันหลายปี และต้องยืดหยุ่นมากพร้อมเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
เพราะในขณะที่หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งอยากใช้คลาวด์สาธารณะ (คลาวด์ของเอกชน เช่น SWA, Microsoft azure หรือ Google Cloud) มาหลายปี แต่ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับคลาวด์สาธารณะยังไม่สะเด็ดน้ำดี
และยังสื่อสารกับข้าราชการไม่ได้ ยังไม่รวมถึงสกิลและ Mindset ในการใช้ซอฟต์แวร์บนคลาวด์ของข้าราชการที่ยังยึดติดกับงานสารบรรณเอกสารกระดาษ ตรงนี้ก็เป็นอุปสรรคด้านกำลังพลภาครัฐที่มีมากกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศ
เมื่อกลับไปดูเทคโนโลยีต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลกในอดีตทุกครั้งที่ผ่านมาล้วนใช้เวลา กล่าวคือ ทุกสิ่งไม่ได้เปลี่ยนฉับพลัน และไม่สามารถบังคับให้เปลี่ยนฉับพลันได้ เช่น เมื่อครั้งคอมพิวเตอร์แบบดิจิทัลอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นในช่วงปี 1940 ใช้เวลากว่า 40 ปีในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 1980-1990 ช่วงเป็นยุค Personal Computer หรือในยุคที่ Blockchain เกิดขึ้นหลายคนก็บอกว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนโลก แต่ทุกวันนี้ก็เงียบหายและเซื่องซึม
เทคโนโลยีเหล่านี้มีวัฏจักร คือ Winter ที่ทุกอย่างหยุดพัฒนา และ Summer ที่มีคนคลั่งไคล้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ และเรายังไม่รู้ว่า AI Summer นี้เป็น “ของจริง” หรือการทดสอบผู้ที่พร้อมจะแข่งขัน
ทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นว่านโยบายเอไอยังมีเวลาไม่ต้องรีบ ต้องวางกรอบยุทธศาสตร์และแผนอย่างรัดกุม
ดังนั้นท้ายที่สุดจะอยู่ที่ผู้กำหนดกรอบของรากฐานเทคโนโลยีนี้ ซึ่ง “รัฐมนตรีประเสริฐ” กล่าวว่า “บอร์ดเอไอแห่งชาติ” กำลังอยู่ในช่วงเลือกสรร คาดว่าจะได้เห็นกลางปี 2567
บอร์ดชุดนี้จะประกอบด้วยบอร์ดฝั่งดีอี มีหน้าที่ด้านคุ้มครองพัฒนาระบบและนำไปการพัฒนาเศรษฐกิจ และบอร์ดฝั่ง อว. มีหน้าที่ด้านการวางกรอบวิจัยและพัฒนาบ่มเพาะกำลังคน ทั้งสองฝั่งนี้หากวางเป้าระยะสั้นกลางยาวไว้ก็น่าจะ “ครบเครื่อง” ทั้งด้านระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และพีเพิลแวร์
แต่กรอบแผนของ “บอร์ดเอไอ” จะต้องสะเด็ดน้ำ และชี้ทิศทางและที่ยืนของไทยในยุคเอไอให้ได้ชัดเจน