ไม่นานมานี้ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้จัดงานปรีดีทอล์ค PRIDI Talks #13 รำลึก 45 ปี 6 ตุลาฯ ในหัวข้อ “จากทุ่งสังหารถึงสำนักงานตั๋วช้าง” ตำรวจ-ทหาร กองทัพของราษฎร” เพื่อร่วมกันพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์ และหน้าที่กองทัพ การติดตาม พ.ร.บ.ป้องกันซ้อมทรมาน-อุ้มหาย และการปฏิรูปตำรวจ ท้ายที่สุดเป็นการนำเสนอมุมมองกระบวนการยุติธรรมบนฐานความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างอย่างหลากหลายบนสังคมประชาธิปไตย
รศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวเปิดงาน และ ปาฐกถานำ หัวข้อ “ภราดรภาพนิยม: แนวทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติธรรมในวิกฤติขัดแย้งและสังคมเห็นต่าง” ว่า การสร้างสังคมให้มีภราดรภาพ มีความเป็นพี่เป็นน้อง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ปรองดองสมานฉันท์นั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นลอยๆ ในภาวะที่สังคมมีความเห็นต่าง มีวิกฤติความขัดแย้ง ต้องเริ่มต้นด้วยการมีวัฒนธรรม มีทัศนะทางสังคม หรือ ค่านิยมสนับสนุนความเสมอภาค ไม่แบ่งคนเป็นชั้นวรรณะ ไม่แบ่งคนเพราะมีเชื้อชาติต่างกัน ไม่แบ่งคนเพราะมีความคิดความเชื่อทางการเมืองและศาสนาต่างกัน นี่เป็นเพียงรากฐานเบื้องต้นของ “ภราดรภาพ” เท่านั้น
และ ผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติธรรมภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และ ผู้อำนาจรัฐก็ไม่ใช้กฎหมายยัดคดีให้กับผู้เห็นต่างหรือคนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม
อย่างไรก็ตาม “ภราดรภาพ” อันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความสุขสงบสันติ ยากที่จะเกิดในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและเศรษฐกิจเหลื่อมล้ำสูง ฉะนั้น ต้องผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยทางการเมือง และ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจลดความเหลื่อมล้ำให้ได้เสียก่อน จึงทำให้เกิดสังคมภราดรภาพนิยม
ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางการเมืองที่มีคุณภาพย่อมเกิดได้ยาก จะกลายเป็น Money Politics หรือ ธนาธิปไตยมากกว่า
เศรษฐกิจนั้นมีความสำคัญในฐานะพื้นฐานของการดำรงชีวิต หากประชาชนยังคงมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังต้องดิ้นรนเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันๆ ความตระหนักต่อสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนนั้นก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะต้องแบ่งเวลาและความสนใจไปกับเรื่องปากท้องและการแสวงหาให้ได้มาซึ่งปัจจัยอันจำเป็นแก่การดำรงชีวิตของตนและครอบครัว ซึ่งการจะแก้ไขความไม่เที่ยงแท้ทางเศรษฐกิจเช่นนี้ได้ ก็ด้วย การมีระบบสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า มีระบบประกันสังคมเข้มแข็ง หรือที่ ท่านอาจารย์ปรีดี ใช้คำว่า การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร นั่นเอง
หลักการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนั้นมีผลมาจากปรัชญาภราดรภาพนิยมของท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งท่านปรีดีได้รับอิทธิพลจากศาสตราจารย์ชาร์ลส์ จิ๊ด (Charles Gide) ซึ่งได้อธิบายว่าภราดรภาพนิยม (Solidarism) เป็นแนวคิดที่มอง “มนุษยชาติต้องพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น จึงจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในความลำบากของผู้อื่นด้วย ซึ่งการนี้เป็นมูลฐานแห่งความยุติธรรมของสังคม” ภราดรภาพนิยมเชื่อว่า มนุษยที่เกิดมาย่อมต้องเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กัน เช่น คนจนนั้นเพราะสังคมอาจทำให้จนลงก็ได้ หรือคนที่รวยเวลานี้ ไม่ใช่รวยเพราะแรงงานของตนเลย ต้องอาศัยแรงงานผู้อื่น ฉะนั้นจึงถือว่ามนุษย์ต่างมีหนี้ตามธรรมจริยาต่อกัน จึงต้องร่วมประกันภัยต่อกันและร่วมกันในการประกอบเศรษฐกิจ
รัฐบาลควรเร่งจัดเก็บภาษีมรดกหรือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เก็บจากทรัพย์สินและความมั่งคั่งของบุคคล ซึ่งการเก็บภาษีในฐานทรัพย์สินนั้นจะไม่กระทบการฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ Covid-19 และยังเป็นไปตามปรัชญาภราดรภาพนิยมซึ่งเป็นหลักคิดของท่านปรีดี บุคคลในบุคคลหนึ่งอาจจะมีสถานภาพแย่ลง ยากจนลง ว่างงานไม่มีรายได้จากาการล็อกดาวน์ยาวนาน สังคมจึงต้องมีส่วนร่วมในการเข้ามาดูแล คนมั่งมีจึงอาจจะต้องเสียสละความมั่งคั่งบางส่วนเพื่อช่วยเหลือสังคมโดยรวม ซึ่งหากวันหนึ่งคนมั่งมีต้องยากลำบากลงเพราะกฎแห่งความเป็นอนิจจังก็จะได้รับการเกื้อกูลจากสังคมตอบแทนเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป หากต้องการให้เกิด สังคมภราดรภาพ อันนำมาสู่สันติสุข ลดความขัดแย้ง เห็นต่างกันได้โดยสามารถอยู่ร่วมกันได้ ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
ประการแรก ต้องสถาปนา รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ประการที่สอง ปลูกฝัง ค่านิยมและวัฒนธรรมประชาธิปไตยผ่านระบบการศึกษาทั้งในระบบและระบบการศึกษาตามอัธยาศัย บรรจุ บทเรียนความรุนแรงทางการเมืองและเหตุการณ์นองเลือดให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงอุดมศึกษาฯ เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤติความรุนแรงในอนาคต
ประการที่สาม ต้องผลักดันให้เกิด “รัฐสวัสดิการ” “สวัสดิการถ้วนหน้า” ด้วยการเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้าเพื่อนำมาจัดสรรเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน อันเป็นไปตามแนวคิด “ภราดรภาพนิยม”
ประการที่สี่ ส่งเสริมให้ใช้ “ระบบคุณธรรม” แทน “ระบบอุปถัมภ์” ในระบบราชการโดยเฉพาะในกลุ่มข้าราชการตำรวจทหารซึ่งมีปัญหาแต่งตั้งโยกย้ายที่มีลักษณะการดำเนินการที่มีการเล่นพรรคและเล่นพวกมาโดยตลอด
ประการที่ห้า เสนอให้ รัฐบาล จัดสรรงบประมาณจัดสร้าง พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการถาวร เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและการเรียนรู้เพื่อเป็นบทเรียน เป็นสิ่งที่เตือนสติ เป็นสิ่งที่สังคมได้เรียนรู้ว่า เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติธรรม มีศักดิ์ศรีและมีเสรีภาพได้อย่างไร
ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขบวนการของคนหนุ่มสาว ไม่ว่า 14 ตุลา 6 ตุลา ในไทยก็ดี ไม่ว่าที่เมืองกวางจูเพื่อโค่นล้มเผด็จการทหารเกาหลีใต้ในปี 2523 และเกิดการสังหารหมู่ ไม่ว่าจะเป็นที่เทียนอันเหมินเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปและเสรีภาพเมื่อปี 2532 ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติดอกมะลิหรืออาหรับสปริงในปี พ.ศ. 2553 ที่ตูนิเซียจนลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาคแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง หรือ ล่าสุด การลุกขึ้นสู้ของประชาชนชาวเมียร์มาร์ในการไม่ยอมรับการรัฐประหารของ “มิน อ่อง หล่าย”
การเรียกร้องประชาธิปไตยหลายเหตุการณ์มักจะจบลงด้วยการปรามปรามของ “ทรรัฐ” ที่ใช้ความรุนแรงด้วยกองทหารและอาวุธจากภาษีประชาชน นำมาเข่นฆ่าและทำร้ายประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบไหนล้วนเป็น “ทรรัฐ” ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับผู้นำ เป็นผู้นำที่ใช้วิธีการแบบไหนในการรักษาอำนาจ หากใช้วิธีเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองเพื่อรักษาอำนาจ ณ. วันนั้น เขาได้เป็น “ทรราชย์” ใน “ระบอบทรรัฐ” แล้ว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวในช่วงท้าย ว่า 45 ปีหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม และ 48 ปีหลัง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 โครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้ปรับเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมมากขึ้นตามลำดับและมีสัดส่วนของภาคบริการที่ขยายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แม้นสามทศวรรษก่อนหน้านี้ ประเทศไทยสามารถก้าวจากประเทศด้อยพัฒนายากจนสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง แต่วันนี้ คนยากจนกลับเพิ่มขึ้น ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น ติดอันดับต้นๆของโลก รายได้ประเทศลดลง ขาดดุลงบประมาณสูงเป็นประวัติการณ์ ต้องขยายเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จาก 60% เป็น 70% ลำพังไม่มีวิกฤติความขัดแย้ง ปัญหาเหล่านี้ก็แก้ไขยากอยู่แล้ว ยิ่งมีความขัดแย้งยิ่งแก้ไม่ได้ ประเทศต้องการเอกภาพ สังคมต้องการความสามัคคี สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดหากไม่คิดเรื่อง ภราดรภาพ สิ่งนี้ไม่เกิด หากไม่มีความเป็น ธรรม สิ่งนี้ไม่เกิดหากไม่มีเสรีภาพ และ ประชาธิปไตย อย่างแท้จริง ต้องใช้ ภราดรภาพ ในการเอาชนะพลังแห่งความเกลียดชัง และ ทะลายความหวาดระแวงในหมู่คนไทยด้วยกัน