ฟิลิปปินส์ไปต่อ หรือ เปลี่ยนแปลง?

9 พฤษภาคม 2022 ถือเป็นอีกวันสำคัญของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ต่อการกำหนดและชี้ชะตาอนาคตประเทศหลังการปกครองของ Duterte มาอย่างยาวนานกว่า 6 ปี โดยการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ถือเป็นการจัดเลือกตั้งพร้อมกันกว่า 18,000 ตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับชาติอย่างประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี สมาชิกวุฒิสภา ไปจนถึงระดับท้องถิ่นอย่าง สภาเมือง (city council) ฉะนั้นในเดือนพฤษภาที่มาถึงนี้จึงถือเป็นเดือนที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างดุเดือดอีกเดือนหนึ่งก็ว่าได้

ขณะที่กระแสผู้สมัครหลายคนยังถือว่าเป็นรอง BBM หรือ Ferdinand “Bongbong” Marcos Jr. ลูกชายของ Ferdinand Marcos อดีตผู้นำเผด็จการในช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งประสบกับข้อกล่าวหาการทุจริตและการบังคับใช้กฎอัยการศึกยาวซึ่งมอบอำนาจเต็มให้แก่ประธานาธิบดีนานกว่าทศวรรษ ถึงกระนั้นก็มิทำให้กระแสการสนับสนุนลูกชายของเขาถดถอยไปอย่างไร บางรายถึงกับกล่าวว่า “Not even Duterte can match Marcos”

จากการสำรวจล่าสุด BBM มีคะแนนนำไปถึงร้อยละ 60 ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Robredo ได้ไปเพียงแค่ร้อยละ 15 ซึ่งเป็นผลสำรวจที่ค่อนข้างชัดเจนหากไม่มีอะไรพลิกล็อคก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งผู้เขียนมองว่าการแข่งขันครั้งนี้จะมีเพียง 2 คู่ที่น่าจับตาคือ Bongbong และ Leni

ผู้สมัครอย่าง BBM ซึ่งถือออกประกาศตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ในนามพรรค Federal Party of the Philippines (PFP) มาในธีมสีแดงประกอบแคมเปญในการหาเสียง โดยก่อนหน้าเขาลงสมัครแข่งขันชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี กับ Leni Robredo และพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งไปอย่างฉิวเฉียด ซึ่งตอนเขาลงสมัครมีรายงานว่า Ridrigo Duterte ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

ในการเลือกตั้งครั้งนี้เขาจับคู่กับ Sara Duterte ลูกสาว Rodrigo Duterte ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน มาในธีมสีเขียวประกอบแคมเปญในการหาเสียง โดยเธอดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด (Mayor) Davao City จะลงสมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีในนามพรรค Lakas ซึ่งทั้งสองเป็นพันธมิตรกันในนาม Uniteam เสนอนโยบายสานต่อจาก Duterte ไม่ว่าจะโครงสร้างพื้นฐาน (“Build, Build, Build” program) หรือการปราบปรามยาเสพติด ซึ่ง Sara อ้างว่านี่คือ การปฏิรูปและจะต้องดำเนินต่อไป

การจับมือเป็นพันธมิตร Uniteam มีรายงานระบุว่า อดีตประธานาธิบดี Arroyo ตระกูลการเมืองอย่าง Macapagal และ Estada ในการให้การสนับสนุนและเป็นหุ้นส่วนทางการเมือง ซึ่งถือเป็นการรวมตระกูลและชี้ชัดว่าหลังการเลือกตั้งจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันอย่างแน่นอน

ขณะที่ Leni Robredo รองประธานาธิบดี ซึ่งดำรงตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2016 ออกตัวลงสมัครประธานาธิบดีในนามอิสระ ในครั้งนี้ท่ามกลางกระแสอุดมการณ์เสรีนิยมที่พกติดตัวมาด้วย ก่อนหน้านี้เธอเป็นผู้โด่งดัง การกล้าออกมาเปิดโปงและวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของ Duterte อย่างต่อเนื่อง มาพร้อมกับผู้สมัครรองประธานาธิบดี อย่าง Francis Pangilinan วุฒิสมาชิกจากพรรคเสรีนิยม อย่างไรก็ตามสีที่ใช้แคมเปญในครั้งนี้เป็นสีชมพูโดยปรับเปลี่ยนจากสีเหลืองซึ่งเป็นสีของพรรคเสรีนิยมซึ่งการปรับเปลี่ยนสีประจำตัว ครั้งนี้เพื่อขยายฐานเสียงให้ฝั่งตรงข้ามหันมาหนุนเธอและพยายามลบภาพความเป็นคนของพรรคเสรีนิยม

โดยเธอได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มสายวิชาการและปัญญาชน ในการที่จะเป็นคู่แข่งคนสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขนโยบายที่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศได้ ล่าสุดสำนัก Bloomberg ประเมินจากกลุ่มนักลงทุนโดยการวิเคราะห์และให้คะแนนในนโยบายจัดอันดับของเธออยู่ในอันดับสูงสุดที่ 106 คะแนน ขณะที่ BBM อยู่ในอันดับ 46 ซึ่งเกือบจะรั้งท้ายเมื่อเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆ

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า นโยบายของ BBM จะมุ่งเน้นไปที่การสานสัมพันธ์ต่อกับจีนและละเลยการกล่าวถึงปัญหาในทะเลจีนใต้อย่างแน่นอนซึ่งนั้นหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาที่จะถดถอยลงไป ส่วนนโยบายของผู้สมัครอย่าง Rebredo แสดงถึงความตระหนักที่จะเปิดประเด็นและกลับมาต่อสู้ในประเด็นทะเลจีนใต้อีกครั้ง หลังจากประสบความสำเร็จในสมัย Benigno Aquino III ที่ยื่นฟ้องต่อกรณีการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้ของจีนตามประวัติศาสตร์เหนือน่านน้ำและทรัพยากรตามแผนที่เส้นประ 9 เส้นของจีน และยังมีผู้สมัครอื่นๆ อีก ที่น่าสนใจอีกอย่าง

Isko Moreno ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรค Aksyon พร้อมกับผู้สมัครรองประธานาธิบดีอย่าง Willie Ong โดยเขาเป็นอดีตนักแสดงผู้ผันตัวมาเป็นผู้ว่าราชการกรุงมะนิลาตั้งแต่ปี 2019 โดยใน 2016 เคยสมัครตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

Emmanuel “Manny” Pacquiao นักชกขวัญใจมหาชน ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรค PROMDI พร้อมกับผู้สมัครรองประธานาธิบดีอย่าง Lito Atienza ส.ส.จากจังหวัด Buhay โดยเขาเคยได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ในปี 2010 และ 2016 ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก โดยอุดมการณ์ทางการเมืองของเขาอยู่ในขั้วของอนุรักษนิยม และถูกจับตาเป็นอีกคนหนึ่งที่กล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ Duterte ต่อประเด็นการทุจริตในโครงการหลายพันล้านบาทในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 และกลายเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มผู้เคยสนับสนุน Duterte

Ping lacson ผู้สมัครประธานาธิบดีในนามอิสระ มาพร้อมกับ Tito Sotto จากพรรค NPC โดยเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้ลงสมัครชิงชัยประธานาธิบดีครั้งที่ 2 หลังจากพ่ายแพ้ให้กับ Gloria Macapagal-Arroyo ในปี 2004 ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเป็นที่รู้จักในการปราบปรามการแก้ปัญหาอาชญากรรมในสมัยอดีตประธานาธิบดี Estrada ถึงแม้จะมีประสบการณ์ที่มากจากการทำงานในหลากหลายตำแหน่งแต่เขาถูกมองว่าขาดประสบการณ์ในการบริหารที่เพียงพอ

Leody de guzman ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรค PLM (พรรคแรงงานอุดมการณ์สังคมนิยม) พร้อมกับผู้สมัครรองประธานาธิบดี Walden Bello โดยเป็นนักต่อสู้ด้านแรงงานเป็นคนหนึ่งที่มีนโยบายก้าวหน้าและประกาศเก็บภาษีคนรวยและเน้นย้ำ นโยบาย labor first ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่เธอชูในครั้งนี้

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวฟิลิปปินส์มากกว่า 65.7 ล้านคนเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดชะตาของประเทศในต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ว่าฟิลิปปินส์ “จะไปต่อหรือเปลี่ยนแปลง” แม้การใช้สิทธิในครั้งนี้ถือว่าอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคและความไม่พอใจของประชาชนต่อการจัดการสถานการณ์ แต่ท้ายที่สุดต้องรอดูว่า กระแสของ BBM และการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มตระกูลการเมืองจะทานสิ่งเหล่านี้ไหวหรือไม่ 9 พฤษภานี้ ติดตามชมกันครับ

ที่มา

– Diplomat, Introducing the Colors of the Philippine Election, https://thediplomat.com/2022/03/introducing-the-colors-of-the-philippine-election/

– Diplomat, Inside the Philippines’ Critical Presidential Election, https://thediplomat.com/2022/03/inside-the-philippines-critical-presidential-election/