จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 มี.ค. เห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดวงเงินกู้ระยะสั้น (Credit Line) โดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (Overdraft : OD) วงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงาน หลังจากยอดจำหน่ายบุหรี่ในปีงบประมาณ 2564 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยประเมิณว่า หากยอดจำหน่ายบุหรี่ลดลงร้อยละ 50 (จำหน่ายได้ 10,058 ล้านมวน) จะส่งผลให้ ยสท. มีเงินสดคงเหลือติดลบและขาดสภาพคล่องทางการเงิน
วันที่ 5 มี.ค. นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่ ครม.มีมติอนุมัติวงเงินกู้ระยะสั้นโดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) เพื่อไว้ใช้จ่ายเมื่อมีความจำเป็นถึง 1,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ยสท. เป็นองค์กรที่มีเครดิตดีเช่นเดียวกับธุรกิจชั้นนำต่างๆ กรณีนี้ไม่ใช่การกู้เงิน แต่เป็นเพียงการดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยง
ยืนยันว่า ยสท. ยังเป็นองค์กรที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งมาก ในช่วงปลายปีงบประมาณ 2563 ยสท. มีเงินสดคงเหลือในบัญชี 8,500 ล้านบาทโดย ยสท. มีกำไร 593 ล้านบาท ซึ่งผลกำไรดังกล่าว ได้หักค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสวนป่าเบญจกิติเพื่อประชาชน จำนวน 260 ล้านบาทและโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retire)แล้ว มั่นใจว่าในปีงบประมาณ 2564 ผลกำไรจะเพิ่มขึ้น และยังคาดการณ์ว่าในปีงบประมาณ 2565 อาจมีกำไรกว่า 1,000 ล้านบาท
ผู้ว่าการยาสูบฯ กล่าวว่า ขณะนี้ ยสท. ได้ปรับเปลี่ยนระบบการบริหารงานให้มีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขี้น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพนักงานทุกระดับ ทุกฝ่าย จนสามารถมีกำไรอย่างต่อเนื่อง มิได้ขาดสภาพคล่องจนกระแสเงินสดติดลบ ยสท. ยังคงดำเนินกิจการด้วยความไม่ประมาท เพราะยังมีตัวแปรอีกมากมายที่จะส่งผลกระทบโดยตรงกับกิจการของ ยสท. เช่น ภาระภาษีสรรพสามิต ภาระการนำส่งเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรต่าง ๆ ซึ่ง ยสท. ยืนยันว่า ตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีที่ผ่านมา การยาสูบแห่งประเทศไทย ได้ปฏิบัติภารกิจนี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในฐานะรัฐวิสาหกิจชั้นนำของประเทศไทย และจะทำภารกิจนี้ด้วยความเสียสละเข้มแข็ง เพื่อให้รัฐยังคงมีรายได้นำไปใช้จ่ายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมให้แก่ประชาชนคนไทยต่อไป