นี่เป็นชื่อบทเพลงที่ถูกขับร้องในช่วงสุดท้ายขอ งานเฉลิมฉลอง 100 ปี การสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน สะท้อนถึงนัยยะและสารที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการสื่อถึงชาวจีนและชาวโลก
แม้ว่าเพลงนี้จะถูกแต่งมานับตั้งแต่ปี 1943 เพื่อตอบโต้สโลแกนของพรรคก๊กมินตั๋งที่มีอำนาจอยู่ในแผ่นดินจีนเวลานั้น แต่เพลงนี้ก็ถูกหยิบใช้อยู่ตลอดเวลา และสำหรับในปีนี้ดูเหมือนมันจะถูกให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
สอดคล้องกับสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ตอกย้ำถึงพันธกิจสำคัญที่ผ่านมาของพรรคคอมมิวนิสต์ในการสร้างและฟื้นฟูชาติจีนใหม่ หลังจากตกต่ำมาอย่างต่อเนื่องภายหลังพ่ายแพ้สงครามฝิ่นในยุคราชวงศ์จีน
ตลอดการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กว่า 1 ชั่วโมง ได้เน้นย้ำถึงความสำเร็จของชนชาติจีนในการบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ในการสร้างจีนที่เข้มแข็ง การเอาชนะความยากจน และการขึ้นเป็นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก
แต่ความสำเร็จเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากไร้ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ ที่หลอมรวมและนำพาชาวจีนในการบรรลุเป้าหมาย ประโยคดังกล่าวออกจากปากของสี จิ้นผิง หลายต่อหลายครั้ง
เราจึงอาจกล่าวได้ว่าข้อความและสิ่งที่ สีจิ้นผิง และพรรคคอมมิวนิสต์พยายามจะบอกกับชาวจีนและชาวโลกก็คือพรรคคอมมิวนิสต์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างไรกับการพัฒนาชาติจีนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือสารหลักที่ถูกใช้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาภายในประเทศจีนเพื่อดำรงสถานะอำนาจในการปกครองประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์
แน่นอนว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนนั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกเรื่องอย่างที่สี จิ้นผิงพยายามสื่อสาร แม้การแสดงแสง-สี-เสียงในช่วงค่ำ จะหยิบยกความสำเร็จของเหมาเจ๋อตุงในการผลักดันอุตสาหกรรมและการผลิตเหล็กภายในประเทศ แต่กลับเลี่ยงที่จะกล่าวถึงผลกระทบของนโยบายนี้ที่ทำให้คนจีนต้องอดอยากและเสียชีวิตไปจำนวนมาก
ยังไม่นับรวมการปฏิวัติวัฒนธรรมที่เป็นบาดแผลสำคัญที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในประเทศจีนจนกระทั่งทุกวันนี้ และตัวสี จิ้นผิงเองก็ถือเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ในช่วงของเหมาเจ๋อตุง
ฉะนั้น 100 ปี ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นไม่ได้มีแต่เรื่องความสำเร็จเพียงเท่านั้น เพราะพรรคเองก็มีความล้มเหลวมากมายที่ไม่ต้องการป่าวประกาศออกไปให้ชาวจีนและชาวโลกได้รับรู้เช่นกัน
แต่ต้องยอมรับว่า 100 ปี ของพรรคการเมืองนี้เต็มไปด้วยประสบการณ์และความเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงทั้งในสังคมจีน และสังคมโลกเพื่อความอยู่รอด จนหลายคนพูดกันติดตลกว่า “หากเหมา เจ๋อตุง ฟื้นขึ้นมาอาจต้องตกใจกับสภาพของพรรคคอมมิวนิสต์ในวันนี้”
พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มต้นจาก “ปัญญาชน กรรมกร และแรงงาน” ที่ต้องการความเท่าเทียมและล้มล้างระบอบที่อยุติธรรมและเอาเปรียบภายในประเทศจีน ทั้งในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ
แต่หลังจากการขึ้นมาของเติ้ง เสี่ยวผิง พรรคคอมมิวนิสต์ได้เปลี่ยนตัวเองเป็น “พรรคเศรษฐกิจ” ที่ต้องการส่งเสริมความกินดี อยู่ดี และสร้างสังคมจีนที่อิ่มท้องและมีความสุข เพราะก่อนหน้านี้ชาวจีนหลายครอบครัวต้องทนทุกข์กับความอดอยาก จนคำทักทายในชีวิตประจำวันในช่วงนั้นคือการถามว่า “กินข้าวรึยัง”
แนวทางการเป็นพรรคเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิง ถูกสานต่อด้วยผู้นำอย่าง เจียง เจ๋อหมิน และ หู จิ่นเทา ที่ผลักดันให้จีนเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก และผงาดขึ้นเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกได้สำเร็จ จีนยุคนี้ก้มหน้าก้มตาพัฒนาตัวเอง ไม่ต่อปากต่อคำ พยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศตัวเอง
หลังจากสั่งสมความมั่งคั่งมาจนถึงจุดหนึ่งแล้ว การผงาดขึ้นของสี จิ้นผิง จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่กำลังปรับเปลี่ยนตัวเองเป็น “พรรคชาตินิยม” เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับคนจีนทั้งปวง และแสวงหาความยิ่งใหญ่ที่จีนเคยเป็นมา
ฉะนั้นตลอดช่วงหลายปี ภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง จีนยุคนี้มองไกล มีความฝันที่อยากไปให้ถึง เราจึงได้เห็นท่าทีของจีนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดหูผิดตา ทั้งขยายอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทั้งตอบโต้ข้อวิจารณ์ ไปจนถึงการเข้าไปมีบทบาทในการเมืองระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น
เราจึงกล่าวได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนนั้นมีพลวัตในตัวเองสูงมากพรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะปรับปรุงช้าหรือเร็วตามช่วงเวลา แต่ความพยายามดังกล่าวของพรรคก็ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในชีวิตของจีนอย่างต่อเนื่อง
ความสามารถในการยึดกุมความเชื่อมั่นของชาวจีนนี้เอง ที่ทำให้พรรคนี้ยังคงสามารถปกครองประเทศจีนอยู่ได้ ดังที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนทุกยุคทุกสมัยได้กล่าวต่อกันว่า “ประเทศนี้เป็นของประชาชนและ ประชาชนคือประเทศ”
ไม่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจะถูกมองว่าไม่หลงเหลือความเป็นคอมมิวนิสต์อีกแล้ว แต่ความยืดหยุ่น และมุ่งผลสัมฤทธิ์ของพรรคนี้เอง คือความสำเร็จชิ้นสำคัญที่นำพาพรรคให้รอดมาได้ถึง 100 ปี และสามารถปกครองประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกมาได้ถึง 72 ปี