อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยอมรับอย่างมากจากประชาคมระหว่างประเทศ และถือเป็นต้นแบบสำคัญของหลายประเทศทั่วโลกในเรื่องการส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม และการขับเคลื่อนประชาธิปไตยที่โอบรับความหลากหลาย
หลายปีที่ผ่านมาอินเดียมีความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจนับตั้งแต่การปฏิรูปประเทศในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 อินเดียจึงเป็นที่จับตามองจากนักลงทุนหลายประเทศทั่วโลก ที่กำลังปวดหัวกับปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
แต่รูปลักษณ์ภายนอกที่เต็มไปด้วยความเป็นพหุทางวัฒนธรรม ศาสนา ภาษา และชาติพันธุ์ ตลอดจนประชาธิปไตย และการพัฒนาเศรษฐกิจเสรีนิยมของอินเดียนั้น ลึกๆ แล้วยังคงมีปัญหาค้างคาที่ยังคงแก้ไม่ได้ โดยเฉพาะความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง อันนำมาซึ่งการจับอาวุธของประชากร
ก่อนหน้านี้ NewsXtra ได้เขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นสันติภาพในพื้นที่รัฐนาคาแลนด์ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลอินเดียยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาอยู่ แต่อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ค้างคามาเป็นเวลามากกว่า 50 ปี ในอินเดียคือ การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลอินเดียกับกลุ่มขบวนการลัทธิเหมา (Naxalite–Maoist insurgency)
กลุ่มเคลื่อนไหวนี้มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่อินเดียเริ่มก่อร่างสร้างประเทศในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยพื้นที่ปฏิบัติการส่วนใหญ่อยู่ในแถบดินแดนทางภาคตะวันออกของประเทศอินเดีย เช่นบางส่วนของรัฐเบงกอลตะวันตก รัฐฌารขัณฑ์ รัฐฉัตตีสครห์ รัฐพิหาร และรัฐโอริสสา
แม้ว่ารัฐบาลอินเดียให้การยอมรับแนวคิดคอมมิวนิสต์ให้สามารถเผยแพร่ได้อย่างอิสระในประเทศ จนในปัจจุบันพรรคการเมืองที่ผลักดันอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในประเทศอินเดียสามารถผลักดันและลงเลือกตั้งได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มขบวนการลัทธิเหมาเป็นกลุ่มอุดมการณ์แบบฝ่ายซ้ายสุดขั้ว ที่ต้องการการปฏิวัติมากกว่าที่จะมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยของอินเดีย ทำให้การปฏิบัติการของกลุ่มดังกล่าวเลือกใช้การจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลอินเดียแทน ส่งผลให้เกิดสภาพความไม่สงบในพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มดังกล่าว
โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมามีการปะทะกันระหว่างกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของอินเดีย กับกลุ่มขบวนการลัทธิเหมาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตและทรัพย์สินของทั้งสองฝ่ายมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตจากความไม่สงบนี้ไม่ต่ำกว่า 6000 ราย
แม้ว่ารัฐบาลอินเดียตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะพยายามอย่างมากเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าวเพื่อลดทอนและสลายกลุ่มก่อความไม่สงบดังกล่าว ซึ่งถือเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นมันยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย
อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีนัก เพราะจนถึงทุกวันนี้ก็ยังพบการก่อวินาศกรรม และโจมตีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอินเดียอยู่เนืองๆ ในพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มดังกล่าว
แต่อาจต้องอธิบายว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และพื้นที่การปฏิบัติการของกลุ่มเคลื่อนไหวก็มีแนวโน้มจำกัดตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแรงสนับสนุนของประชาชนในเขตชนบทที่เริ่มลดน้อยลง
เพราะหลายปีมานี้รัฐบาลอินเดียได้ใช้นโยบายทางเศรษฐกิจ และเดินหน้าเจรจากับสมาชิกกลุ่มเคลื่อนไหวดังกล่าวที่ต้องการเปลี่ยนใจ และหันมาใช้ชีวิตปกติ ปัจจัยเหล่านี้บั่นทอนกำลังของกลุ่มขบวนการลัทธิเหมาอย่างมาก เพราะเป้าหมายของกลุ่มนี้คือการสร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชนในพื้นที่ชนบท
ฉะนั้นเมื่อรัฐบาลอินเดียสามารถนำพาความกินดีอยู่ดีเข้าสู่พื้นที่ชนบทได้ บทบาทของกลุ่มนี้ก็ลดลงไปโดยปริยาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหาความไม่สงบจะหายไปเลยทั้งหมด เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่กลุ่มนี้ยังคงเคลื่อนไหวอยู่
ปัญหากลุ่มขบวนการลัทธิเหมาจึงถือเป็นความท้าทายใหญ่ในการสร้างความมั่นคง และสันติภาพภายในอินเดีย ที่ยังจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข แต่ตัวแปรจำนวนมากชี้ให้เห็นว่ามันกำลังคลี่คลายไปในทางดีมากยิ่งขึ้น