สงครามแคมเปญที่ ‘หลักสี่-จตุจักร’

[NewsXtra วิเคราะห์การเมือง]

วันพรุ่งนี้ ผลการเลือกตั้งซ่อมจะขยายความถึงทิศทางในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ทุกพรรคย่อมมีการบ้านให้ต้องกลับไปแก้เกม

โค้งสุดท้าย แต่ละพรรครังสรรค์ “แคมเปญ” และ “สารทางการเมือง” อย่างตื่นตาตื่นใจ

……………………………..

“มาดามหลี” ลงพื้นที่โดยการประกาศว่า “รักลุงตู่ ชอบลุงป้อม กาเบอร์ 7” ถือเป็นการนำ “นายกรัฐมนตรี” เข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หลังยกบนหิ้งในการเลือกตั้ง “ชุมพร-สงขลา” ปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์พูดชื่อประยุทธ์แต่เพียงฝ่ายเดียว

นโยบายสำคัญที่พรรคพลังประชารัฐมั่นใจคือขายตรงต่อ “ผู้สูงอายุ” ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นฐานเสียงสำคัญในการชี้ชะตาวันพรุ่งนี้

เหมือนที่พา “ลุงป้อม” ไปพบกับกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อขอให้เป็นเครื่องกระจายเสียงพลังประชารัฐไปถึงลูกถึงหลาน ลั่น “รัฐบาลจะดูแลจนกว่าจะเสียชีวิตให้อยู่ดีเป็นสุข”

ทว่าปัจจัยหลักที่อาจนำความพ่ายแพ้มาสู่ตัว คือการแตกของหัวคะแนนในพื้นที่ เมื่อหัวคะแนนที่เคยเป็นของ “สิระ” นาทีนี้หวนกลับไปช่วย “อรรถวิชช์” อยู่หลายหัว

……………………………..

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า “อรรถวิชช์” แห่งพรรคกล้า ได้รับการยกให้เป็นตัวเก็งในหลายโพล เป็นตัวเก็งในระดับที่อาจคว้าชัยเหนือทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคก้าวไกล

ด้วยปัจจัยว่าเคยเป็นเจ้าของพื้นที่ ด้วยปัจจัยว่ามีสายสัมพันธ์กับหัวคะแนนที่เหนียวแน่น และทั้งด้วยเดิมพันในฐานะเลขาธิการพรรค

“อรรถวิชช์” แจกแผ่นพับเต็มพื้นที่ ชูแคมเปญ “สร้างสรรค์การเมืองคุณภาพ” แนบหลักฐานเป็นลิสต์รายชื่อกฎหมายที่เจ้าตัวได้เคยผลักดันจนสำเร็จ รวมถึงผลงานการขยายถนน ถนนใหม่ ยกถนน ปรับผิวถนน ซ่อมถนน ต่อเติมอาคาร ทาสี เทพื้น สร้างลานกิจกรรม เรียกได้ว่าหนาแน่นในฐานะอดีตเจ้าของพื้นที่

ในเวทีปราศรัยใหญ่ “กรณ์” หัวหน้าพรรคกล้า ยังมาแบบกล้ากล้า ด้วยการประกาศ “พร้อมสนับสนุนทุกเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี…ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทำให้ประเทศชาติก้าวหน้าพัฒนา เราพร้อมสนับสนุน”

.

คำประกาศของ “กรณ์” วางอยู่บนความมั่นใจในฐานความนิยมของ “ประยุทธ์” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นโยบายของพรรคก็ดี ทิศทางของพรรคก็ดี ดูจะเป็นขั้วตรงข้ามกับรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง หรือได้รับแรงบันดาลใจจาก “ชุมพร” ว่าชื่อของประยุทธ์ยังขายได้ มีคนซื้อ ผลเลือกตั้งจะเป็นคำตอบ

กุนซือการเมือง ประเมินว่า แม้ “อรรถวิชช์” ไม่คว้าชัยในการเลือกตั้งหนนี้ ทว่าหากได้คะแนนลำดับสอง หรือลำดับสาม จะเป็นโมเมนตัมชั้นเยี่ยมของพรรคกล้าไปสู่ ทั้งการควบรวมพรรค และเลือกตั้งใหญ่ในอนาคต

……………………………..

ไปต่อที่พรรคเพื่อไทย แม้ “สุรชาติ เทียนทอง” จะไม่ได้รับความไว้วางใจอย่างลึกซึ้งจากผู้นำพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ ด้วยเหตุว่า มีสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับทีมไทยสร้างไทยของ “คุญหญิงสุดารัตน์”

ทว่าแต้มต่อของ “สุรชาติ” ในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อแคมเปญ “เพื่อไทยแลนสไลด์” ทำให้นายใหญ่เพื่อไทย ส่งสัญญาณให้ทีมแคมเปญ ทีมพีอาร์ใหญ่ของพรรคลงไปช่วยงานเต็มที่ เห็นได้จากตัวแคมเปญ ป้าย แสง สี เสียง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ไปจนถึงขน ส.ส. กรุงเทพ ส.ส.หัวเมือง ร่วมลงพื้นที่หาเสียง-ขึ้นเวทีปราศรัยคับคั่ง

แคมเปญของเพื่อไทยมาด้วยความเรียบง่าย นั่นคือ “เลือกเพื่อไทย เลือกให้ชนะขาด เลือกสุรชาติ เทียนทอง” ที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น เมื่อพรรคร่อนแถลงการณ์ ความว่า “การเลือกตั้ง…ในวันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2565 นี้ จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการจุดประกายแสงสว่างของการปรับเปลี่ยนการเมืองไทยสู่แนวทางที่ถูกต้องชอบธรรม”

หากนั่งฟังปราศรัย จะพบว่า คู่แข่งของเพื่อไทยวันนี้ ชัดเจน ไม่ได้ชนไปที่พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ชนไปที่พรรคกล้า กระทั่งไม่ได้ชนไปที่พรรคประชาธิปัตย์

ทว่าชนไปที่พรรคก้าวไกล เหมือนที่ “สุทิน” ขุนพลอีสาน ประกาศกลางเวทีว่า “บางคนกล่าวหา สู้ไปกราบไป คุณไม่รู้จริง นี่คือสู้เป็น ถ้าสู้ไม่เป็น คือวิ่งไปให้เขาฆ่าตาย” สิ้นเสียงสุทิน ก็ตามด้วยการตอบโต้ของ “พิธา” ในเวลาต่อมา

แคมเปญหลักสี่ของเพื่อไทยที่มีรากฐานจาก “นักยุทธศาสตร์สายหมอ” คือภาพจำลองแคมเปญการเลือกตั้งใหญ่ นั่นคือ ประกาศสงครามสองทิศ ทิศแรกคือเผด็จการ ทิศสองคือดึงคะแนนเสียงกลับจากพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ก้าวหน้า หวังคว้าชัยมากกว่าการเลือกตั้งปี 2554 จนได้นายกหญิงคนแรกของประเทศ

……………………………..

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พรรคก้าวไกล” กำลังเดินดิ่งไปสู่ขาลงอย่างเห็นได้ชัด

เริ่มที่การแพ้ใหญ่ใน “ชุมพร-สงขลา” ต่อที่ความเงียบกริบในการเปิดตัว “วิโรจน์” ในฐานะแคนดิเดตผู้ว่ากทม. และตามด้วยการเลือกตั้งในวันอาทิตย์นี้

“เพชร การุณพล” ถูกส่งชิงชัยในการเลือกตั้งหนนี้ ด้วยเหตุที่เชื่อกันว่า “สร้างได้ ในเวลาอันสั้น” แต่สภาพการเมืองจริงนั้น ทำให้เห็นว่า “สร้างยาก”

แม้จะขนทีมงานชุดใหญ่ ลงพื้นที่รายชุมชน แต่กระแสตอบรับไม่ดีนัก เพราะความสามารถในการเชื่อมต่อกับพื้นที่ยังเป็นศูนย์ ขณะที่กระแสความนิยมของ “พิธา” ไม่ได้โดดเด่นเห็นแต่ไกลในระดับเดียวกับที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562

แคมเปญในโค้งสุดท้ายคือ “เลือกให้เหมือนเลือกตั้งใหญ่ เลือกก้าวไกล กาเบอร์ 6” แคมเปญขายอดีตเช่นนี้ สะท้อนความสิ้นหวังของพรรคที่ได้ขึ้นชื่อว่าขายความใหม่ในทางการเมืองอย่างยิ่ง

การแก้เกมของพรรคก้าวไกล ต้องเร่งทำ ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว พร้อมทั้งให้ทันในการเลือกตั้งใหญ่ จะเปลี่ยนแปลงใหญ่ แนวร่วมต้องมากขึ้น ไม่ใช่แคบเข้า เช่นทุกวันนี้

……………………………..

“ประชาชน” ไม่มีเจ้าของ แคมเปญการเลือกตั้งจึงเปลี่ยนตลอดเพื่อซื้อใจให้ได้ จะซื้อใจได้ ต้องอ่านบริบททางการเมือง และอารมณ์ของผู้เลือกตั้งให้ออก!!