ตลาดรถอีวี (EV) ส่องอนาคตจากผลปีก่อน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์สำคัญของโลก โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีฐานการผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ขณะเดียวกันอินโดนีเซียก็เป็นอีกประเทศที่ดันการเติบโตของรถยนต์ในภูมิภาคนี้ให้น่าจับตามองเช่นเดียวกัน ล่าสุดในการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งประเทศไทยและอินโดนีเซียหยิบคว้าโอกาสเพื่อดึงเม็ดเงินการลงทุนในครั้งนี้ โดยล่าสุด ประเทศไทยมีแบรนด์อย่าง BYD และอินโดนีเซียมีแบรนด์อย่าง TESLA
อย่างไรก็ตามหากเทียบดูส่วนแบ่งการตลาดสำหรับตลาดรถไฟฟ้า EV ในปี 2021 จะพบว่าแบรนด์ที่ครองมาเป็นอันดับ 1 คือ บริษัท TESLA บริษัทสัญชาติอเมริกาในส่วนแบ่งการตลาดที่ 13.84% รองลงมาที่กลุ่ม VW โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป บริษัทสัญชาติเยอรมันที่ 11.28%
ขณะที่อันดับสาม 8.84% คือ บริษัท BYD สัญชาติจีน ที่จะเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่าง EEC ในไทยหลังมีการขอลงทุนผ่าน BOI และจะเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ BEV และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก PHEV มูลค่าการลงทุน 17,891 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า จะเริ่มผลิตในปี 2567 ขณะเดียวกันยังเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดิน 600 ไร่ จ.ระยอง แปลงใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี และนับเป็นโรงงานผลิตรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้าแห่งแรกนอกจีน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรม EV ในไทยต่อไป
ขณะที่อันดับ 4 ได้แก่ บริษัท General Motors หรือ GM สัญชาติอเมริกาครองส่วนแบ่งการตลาดไป 7.64% ตามมาด้วย Stellantis บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเนเธอร์แลนด์ครองส่วนแบ่งที่ 5.74% บริษัท Hyundai สัญชาติเกาหลีใต้ ครองส่วนแบ่งการตลาดที่อันดับ 6 อยู่ที่ 5.12% นอกจากนี้ยังมีบริษัทสัญชาติยุโรปอย่าง BMW และ Mercedes benz บริษัทจากประเทศเยอรมนีที่หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปในอดีต โดยครองส่วนบางที่ 4.82% และ 4.15% ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นอย่าง TOYOTA และ HONDA ที่กำลังเข้ามาสู่ตลาด EV แห่งนี้และพยายามปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับกระแสและทิศทางการบริโภคของโลกที่เปลี่ยนไป
สำหรับประเทศไทยและประเทศอาเซียนในขณะนี้ต่างเป็นฐานการลงทุนการผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์ EV และเป็นที่น่าจับตาและเป็นการแข่งขันเพื่อเร่งหาโอกาสให้บรรษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนหวังพลิกฟื้นและเพิ่มการจ้างงานในประเทศมากขึ้น จึงเป็นกระแสที่น่าจับตามองในขณะนี้